คอลัมน์ KTAM Focus : จากทองสู่ไทยไปเวียดนาม

โดย…ณัฏฐะ มหัทธนา
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บลจ.กรุงไทย

ทอง +3.75% ในสัปดาห์ล่าสุด ราคาขึ้นมายืนเหนือ $1,600 ต่อออนซ์ “ปลุก” นักลงทุนทั่วโลกให้ตื่นขึ้นมาสนใจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน โลหะสีเหลืองมันวาว ซึ่งเปรียบเสมือนสกุลเงินสากลอมตะนิรันดร์กาลตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ …แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวกลับกลายเป็นเรื่องเด็กๆไปเลยเมื่อเทียบกับการ “ระเบิดฟอร์มเทพ” +10.82% ของ ดัชนีหุ้นเหมืองทอง ในช่วงเวลาเดียวกัน!!!
 

 
KT-PRECIOUS ลงทุนในหน่วยของ Franklin Gold and Precious Metals Fund (กองทุนหลักในต่างประเทศ) เน้นหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ ทองคำ รวมถึงโลหะมีค่าอื่นๆเช่น แพลทินัม พาลาเดียม เงิน ดังนั้น การลงทุนส่วนใหญ่ในพอร์ตก็คือ หุ้นเหมืองทอง
 
หลังจากอธิบายความน่าสนใจ (มาก) ของการลงทุน ทองคำ และ หุ้นเหมืองทอง หลายครั้งในคอลัมน์ KTAM Focus ดูย้อนหลังได้เช่น “รถคันนี้สีทอง” (6 ต.ค.) “Cash is Trash but Gold is King” (26 ม.ค.) ในฐานะนักกลยุทธ์ “ผู้นำตลาด” ต้องแสวงหาโอกาสลงทุนใหม่ๆโดยไม่แช่นิ่งกับสิ่งเดิมๆ ผมขอทิ้งทวนส่งท้ายเกมนี้ด้วยความคาดหวังว่า ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า ราคาทองมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปอีกประมาณ +20% ส่วน หุ้นเหมืองทอง น่าจะพุ่งแรงกว่าสักเท่าตัวคือราวๆ +40%
 
Pacific Easing “นโยบายการเงินการคลังผ่อนคลายในเอเชียแปซิฟิก” คือปัจจัยล่าสุดที่น่าจะเปิดโอกาสลงทุนใหม่ๆ เนื่องจาก COVID-19 แพร่ระบาดในแปซิฟิกหนักกว่าที่อื่น บีบให้รัฐบาลจัดงบประมาณขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ธนาคารกลางผ่อนคลายการเงินมากยิ่งขึ้นนำโดย PBOC (จีน) BOJ (ญี่ปุ่น) RBA (ออสเตรเลีย) น่าจะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลง (downside risks) ให้แก่ตลาดหุ้นได้พอสมควร
 
ขณะสกุลเงินในภูมิภาคนี้อาจมีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้ ดังนั้น การฟื้นตัวของราคาหุ้นในสกุลเงินท้องถิ่นจึงน่าจะเสี่ยงน้อยกว่าในสกุล USD โดยเครื่องมือหลักที่ใช้แสวงหากำไรในเกมนี้คือ KT-AASIA (KTAM All Asia Pacific Equity) เพราะ master fund: Fidelity Pacific ซึ่งเน้นลงทุนหุ้นในภูมิภาคแปซิฟิก เป็นคลาส USD hedged ช่วยลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง ดอลลาร์สหรัฐฯ กับสกุลเงินของประเทศที่เข้าไปลงทุน ส่วนใครที่เป็นแฟนประจำของ “หุ้นญี่ปุ่น” ก็น่าจะเริ่มทยอยสะสม KT-JAPAN กันได้แล้วภายใต้แนวคิดทำนองเดียวกัน
 
หุ้นไทยก็เข้าข่ายได้ประโยชน์จาก Pacific Easing ขณะที่คนจำนวนมากพากันถอดใจ หนีไปลงทุนต่างประเทศ ผมกลับเห็น upside ไม่น้อย และโอกาสสร้างกำไรไม่น่ายาก หากกล้าสวนกระแสเสียงส่วนใหญ่ โดยเข้าซื้อกองทุนหุ้นไทย…ตรงนี้ไปเลย! ถึงแม้การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา เข้ามาดับเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวสุดท้ายคือ การท่องเที่ยว ทว่าปัจจัยอื่นๆที่เคยกดดันก็ทยอยคลี่คลาย งบประมาณที่ล่าช้ามาครึ่งปีก็เพิ่งผ่านสภาฯ ดอกเบี้ยที่เคยสูงเกินไปก็ลดลงแล้ว (และจะลดอีก) “บาทแข็ง” ตอนนี้ไม่มีใครบ่นเพราะอ่อนค่าสุดตั้งแต่ พ.ค. เงินเฟ้อก็เร่งขึ้นมา 3 เดือนติด ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Reflation (เงินเฟ้อฟื้นตัวจากระดับต่ำ) ซึ่งเคยเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุน SET Index ทะยานขึ้นไปทำจุดสูงสุดประวัติการณ์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว


 
SET ร่วงลงมาต่ำกว่า “จุดต่ำสุดของหุ้นไทย” ซึ่งผมเคยชี้ไว้เมื่อเดือน ธ.ค. จนปัจจุบัน P/B (ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี ใช้ข้อมูล Bloomberg) เท่ากับจุดต่ำสุดเมื่อคราววิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในปี 2011 ราคานี้ซึมซับปัจจัยลบไปมากๆแล้ว!
 
กองทุนเปิดกรุงไทย ก่อการดี (KT-ESG) เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนหุ้นไทย โดยเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล ในสัดส่วนที่เท่าหรือใกล้เคียงกับ Thaipat ESG Index
 
KT-CLMVT เป็นอีกกองทุนหนึ่งซึ่งมีโอกาสสร้างเซอร์ไพรส์ “คัมแบ็ก” ในปีนี้ โดย ณ สิ้นเดือน ม.ค. ลงทุนในเวียดนาม 65.42% ของ NAV (ส่วนที่เหลือเป็นหุ้นไทยและสภาพคล่อง) หุ้นเวียดนาม ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตระยะยาวสูงระดับ “ดาวเด่น” ของภูมิภาคอาเซียน มีโอกาสฟื้นตัวแรงๆได้ในระยะถัดไป หากปัจจัยกดดันหลักๆเริ่มคลี่คลาย นอกจาก COVID-19 ก็มี “ราคาหมู” ที่พุ่งขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2019 เพราะโรคระบาด เริ่มปรับตัวลงแล้วหลังรัฐบาลควบคุมราคาและเพิ่มการนำเข้า น่าจะช่วยชะลออัตราเงินเฟ้อ และหนุนเงินด่องให้มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น (เทียบกับบาท) ต่อไป

ส่วนปัจจัย “ทีเด็ด” ที่บรรดานักลงทุนเฝ้าฝันถึง (หลายคนเลิกรอไปแล้ว) คือ การเพิ่มโควตาให้ต่างชาติถือครองหุ้นเวียดนามได้มากขึ้น แม้ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ผมตั้งคำถามทันทีในใจ “ทำไมจะไม่ทำเร็วๆนี้” เพราะโอกาสที่เวียดนามจะ “ยกระดับประเทศ” ตั้งอยู่ตรงหน้า! สหภาพยุโรปเพิ่งอนุมัติข้อตกลงการค้าเสรี ก่อนหน้านี้ก็รู้กันทั่วว่า เวียดนาม เป็นเป้าหมายแรกของการย้ายฐานผลิต capacity ใกล้เต็ม อย่างไรก็ต้องเปิดรับเงินต่างชาติเข้าไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆอีกมากเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ดังนั้น ลงทุน KT-CLMVT ตอนนี้เลยก็น่าจะ “คุ้มเสี่ยง” อย่างไม่ต้องสงสัย
 
คำเตือน: ความเห็นส่วนบุคคล ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน คู่มือการลงทุน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน