BGRIM กำไร Q4/62 โต 215% ลูกค้าใหม่พุ่ง ปันผลเพิ่ม 0.22 บาท

HoonSmart.com>> “บี.กริม เพาเวอร์” กำไรสุทธิไตรมาส 4/62 เติบโต 215% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายธุรกิจต่อเนื่องมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 40% มั่นใจบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพ ลูกค้าใหม่ทยอยเข้ามาต่อเนื่องในปี’63 เดินหน้าขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประกาศจ่ายปันผลครึ่งปีหลัง 0.22 บาทต่อหุ้น

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิจากงบรวม 816 ล้านบาทและกำไรสุทธิที่เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 409 ล้านบาทเติบโตถึง 215% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หากพิจารณากำไรสุทธิจากการดำเนินงานงบการเงินรวมอยู่ที่ 832 ล้านบาท เติบโตถึง 118% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 428 ล้านบาท เติบโตถึง 94.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับปี 2562 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการปี 2562 อยู่ที่ 44,132 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปีก่อน 20.6% และมีกำไรสุทธิจากงบการเงินรวมอยู่ที่ 3,977 ล้านบาท เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ 2,331 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 25.1% อันเนื่องมาจากการขยายกำลังการผลิตถึง 40% จากโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งจากการเข้าซื้อกิจการและการพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงสามารถประหยัดเชื้อเพลิงจากการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซของโรงไฟฟ้าจากพลังความร้อนร่วม 2 โครงการ และการลดต้นทุนทางการเงินจากการรีไฟแนนซ์เงินกู้ด้วย

ด้านมาตรการสำหรับการบริหารจัดการน้ำ บริษัทมีนโยบายและมาตรการการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการใช้น้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำตามแนวทางความยั่งยืน น้ำส่วนใหญ่ที่ถูกนำมาใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมมาจากน้ำที่ผ่านกระบวนการ recycle หรือจากการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งนี้บริษัทยังมีแผนการควบคุมการผลิตไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งนำมาสู่การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการวางแผนการบริหารจัดการน้ำร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมอย่างรอบคอบ ทำให้มั่นใจว่าปริมาณน้ำสำรองในบ่อกักเก็บน้ำของนิคมอุตสาหกรรมเพียงพอต่อการเดินเครื่องไปจนถึงช่วงฤดูฝน บริษัทมั่นใจว่าสามารถผลิตไฟฟ้าและไอน้ำที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอุตสาหกรรมรายเดิมและลูกค้ารายใหม่

ทั้งนี้ บริษัทมีฐานลูกค้าระดับโลกที่มีความมั่นคงระดับสูงเป็นจำนวนมาก ทำให้ภาพรวมการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในเดือน ม.ค. 2563 ยังคงแข็งแกร่ง ด้วยปริมาณการขายไฟในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันก่อนปีก่อน นอกจากนี้ยังมีลูกค้ารายใหม่อีกหลายรายที่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวม 23 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดการทยอยเชื่อมต่อกับโรงไฟฟ้าของบริษัทในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2563

ขณะเดียวกันยังคงมีความต้องการใช้ไฟฟ้าจากลูกค้าอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพมากกว่า 1,000 ราย ในนิคมอุตสาหกรรม ที่มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทตั้งอยู่ แต่ยังไม่ได้ให้บริการ มั่นใจทะลุเป้าหมายกำลังการผลิต 5,000 เมกะวัตต์

ขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสลงทุนในโครงการใหม่ร่วมกับพันธมิตรอีกหลายโครงการ ทั้งจากพลังงานก๊าซและพลังงานทดแทน ในประเทศไทย เวียดนาม เกาหลีใต้ มาเลเซีย กัมพูชา ลาว และประเทศอื่นๆ อีกทั้งมีแผนควบรวมกิจการอีกหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตที่เปิดดำเนินการและอยู่ระหว่างการพัฒนารวม 3,424 เมกะวัตต์ ตัวอย่างโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานลมบ่อทอง ขนาด 16 เมกะวัตต์ และ โครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 39 เมกะวัตต์ในประเทศกัมพูชา รวมถึงโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคารวมขนาด 6 เมกะวัตต์ในประเทศฟิลิปปินส์และตามกรอบการพัฒนาอีกประมาณ 30 เมกะวัตต์ให้กับพันธมิตรในประเทศโอมาน

และตอกย้ำความสำเร็จด้วยรางวัลมากมายในปี 2562 โดยบริษัทได้รับรางวัลทั้งหมด 10 รางวัล ทั้งระดับประเทศและระดับสากล ในหลายแขนง ได้แก่ Best Renewable Projects, Green Bond Financing, Best CEO และ Best IR Team และอีก 7 รางวัลในส่วนของ ESG และความยั่งยืน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบ ในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมประกาศจ่ายปันผล งวดครึ่งปีหลัง 0.22 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 13 มีนาคม 2563 และวันที่จ่ายปันผล คือ 11 พ.ค.2563

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มีมุมมองเป็นกลางต่อผลประกอบการ 4Q62 และต่อเนื่องถึง 1Q63 โดยคาดเห็นการเติบโตเล็กน้อย QoQ และ YoY ใน 1Q63 จากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ลูกค้ากลุ่ม IU กลับมาดำเนินการผลิตปกติหลังปีใหม่ แต่อย่างไรก็ตามผลกระทบจาก Covid-19 อาจกระทบอัตราการซื้อไฟของลูกค้าลดลง เนื่องจากการใช้กำลังการผลิตของโรงงานลดลง

ภาวะภัยแล้งเป็นอีกประเด็นที่ตลาดกังวลว่าอาจมีปริมาณน้ำไม่มากพอในการผลิตไฟฟ้า ขณะที่บริษัทยืนยันว่ามีการสำรองน้ำไว้ใช้จำนวนมากพอใช้ถึงเดือน มิ.ย. สำหรับโรงไฟฟ้าชลบุรี และเดือน ส.ค. สำหรับโรงไฟฟ้าระยอง

“ประเมินว่าราคาหุ้นตอบสนองข่าวลบไปมากแล้ว ขณะที่แนวโน้มกำไรคาดว่าจะกลับมาเด่นและทำ New high ได้ใน 2Q63 เนื่องจากเป็น High season ของพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งใน 2Q62 ยังไม่รวม 2 โรงในเวีดยนามเข้ามา”บล.หยวนต้า ระบุ

สำหรับราคาปัจจุบันซื้อขายด้วย PER 2563 ที่ 39 เท่า แต่ด้วยโอกาสในการถูกปรับประมาณการขึ้นมีมากและเป็นระดับที่มีนัยสำคัญทำให้ระดับ PER ปัจจุบันจะลดลงไปอีก 15 – 20% เรายังคงราคาเป้าหมาย 54 บาท และคงคำแนะนำ TRADING เชิงกลยุทธ์มองเป็นโอกาส ซื้อ