MINT ปี 62 โกยกำไร 1.07 หมื่นลบ.พุ่ง 137%

HoonSmart.com>> ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อวดกำไรปี 62 จำนวน 1.07 หมื่นลบ. เติบโต 137% จากงวดปีก่อน ชี้ทั้งสามธุรกิจเติบโต รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 57%

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2562 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 กำไรสุทธิ 10,697.93 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.0371 บาท เพิ่มขึ้น 137.33% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 4,507.67 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.9303 บาท

บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน 33,646 ล้านบาทและกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) จากการดำเนินงานจำนวน 6,968 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2562 เพิ่มขึ้น 7% และ 10% ตามลำดับ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งสามธุรกิจของบริษัท (ร้านอาหาร โรงแรมจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิตสินค้า) ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 2,909 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2562 เพิ่มขึ้น 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าการเติบโตของรายได้และ EBITDA เป็นผลส่วนใหญ่มาจากการลดลงของค่าเสื่อมราคาของธุรกิจโรงแรมและการลดลงของต้นทุนทางการเงิน เนื่องมาจาการบริหารจัดการฐานะทางการเงินของบริษัทอย่างมีประสทธิภาพในการลดระดับหนี้สินและอัตราดอกเบี้ย

สำหรับปี 2562 รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอัตรา 57% จากปีก่อน จากการรวมงบการเงินของเอ็นเอชโฮเทล กรุ๊ป และรายได้จากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นของทั้งสามธุรกิจที่มีอยู่เดิมของบริษัท ส่วน EBITDA จากการดำเนินงานเติบโต 42% จากปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ชา้กว่าการเติบโตของรายได้ โดยมีสาเหตุส่วนหญ่เนื่องมาจากการรวมงบการเงินของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ซึ่งมีความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำกว่าความสามารถในการทำกำไรเดิมของบริษัท จากโครงสร้างธุรกิจแบบเช่าบริหาร ประกอบกับความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงของธุรกิจร้านอาหารและไลฟ์สไตล์ ท่ามกลางการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศ

กำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโต 23% จากปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ช้ากว่าการเติบโตของรายได้และ EBITDA จากการดำเนินงาน โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากต้นทุนทางการเงินในปี 2562 ที่ใช้ในการลงทุนในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปที่เกิดขึ้นเต็มปีและอัตราภาษีที่สูงกว่าของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป รวมถึงผลกระทบจากการแปลงค่าเงิน

นอกเหนือจากการเพิ่มความแข็งแกร่งในผลการดำเนินงาน บริษัทใชกลยุทธ์การหมุนเวียนสินทรัพย์ในไตรมาส 4 ปี 2562 ด้วยการขายโรงแรมร่วมทุนสามแห่งในประเทศมัลดีฟส์ ได้แก่ อนันตราเวลิ, อนันตรา ดิห์กูและนาลาดูไพรเวท ไอสแลนด์ โดยนำเงินไปชำระคืนเงินกู้เดิม ส่วนกำไรจากการขายสินทรัพย์จะช่วยเพิ่มฐานส่วนของผู้ถือหุ้น ส่งผลให้บริษัทมีฐานะการเงินดีขึ้นต่อเนื่อง

ในขณะที่บริษัทจะยังคงบริหารโรงแรมดังกล่าวต่อไป เป็นผลให้โรงแรมยังของบริษัท และจะยังคงได้รับรายได้จากการรับจ้างบริหารโรงแรมต่อไป

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 บริษัทเชื่อมั่นว่าผลกระทบดังกล่าวจะเกิดขึ้นชั่วคราว บริษัทจะสามารถจัดการกับความท้าทายและกลายเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเหมือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันนอกเหนือจากการบริหารจัดการเชิงรุกเพื่อลดผลกรัทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว บริษัทยังคงมุ่งสร้างรากฐานการดำเนินงานสำหรับการเติบโตในระยะยาวต่อไป

“บริษัทเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของธุรกิจของบริษัท โดยตลอดเวลามากกว่า 50 ปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถก้าวข้ามผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ วิกฤตการณ์เงินปี 2540 โรคซาร์ส ปี 2546 เหตุประท้วงการเมือง ปิดสนามบินปี 2551 รวมถึงโรคระบาด ภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองอื่นๆ โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตของกำไรโดยเฉลี่ยต่อปีในอัตรา 18%” บริษัทระบุ