NOBLE ลดเสี่ยง ซื้ออสังหาฯอังกฤษ -ORI พอร์ตธุรกิจหลากหลายมุ่งโตยั่งยืน

HoonSmart.com>>” โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์” ประกาศปี’63 เล็งซื้ออสังหาริมทรัพย์อังกฤษ 1 ดีล  บริหารความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้ในประเทศ วางแผนขายสินทรัพย์เข้ากอง REITs 1,000 ล้านบาท ออกหุ้นกู้ไม่เกิน 8,000 ล้านบาท  ส่วนออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มุ่งกระจายพอร์ตธุรกิจ มองหาพันธมิตรเพิ่ม  เป้าปี 67 รายได้รวม 3-4 หมื่นล้านบาท  ปีนี้โกย 1.6 หมื่นล้านบาท  จ่อเปิดเพิ่ม 14 โครงการ  เสนาฯรวบคอนโดพร้อมอยู่ 7 โครงการคุณภาพ บน 6 ทำเล จัดแคมเปญก่อนปิดโครงการ  รับส่วนลดสูง 25% ผ่อนเบาๆ  ตั้งแต่วันนี้ – 10 เม.ย.

นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์อังกฤษ เพื่อต้องการซื้ออสังหาฯสร้างเสร็จพร้อมขาย ปัจจุบันกำลังพิจารณาอยู่ 3-4 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 500-1,000 ล้านบาท เบื้องต้นคาดจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ 1 ดีล การออกไปลงทุนยังต่างประเทศเพื่อต้องการกระจายความเสี่ยง จากเดิมที่มุ่งเน้นการขายในประเทศเป็นหลัก นอกจากนี้บริษัทยังได้นำโครงการที่เปิดในประเทศไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพ ไปจำหน่ายที่ต่างประเทศด้วยเช่นกัน

“การลงทุนในต่างประเทศช่วยลดความเสี่ยงในหลายด้าน ทั้งการหาซื้อที่ดิน การขออนุญาตในการก่อสร้าง เป็นต้น กลยุทธ์เลือกการลงทุนในโครงการที่ใกล้เสร็จจะช่วยให้บริษัทรับรู้รายได้เร็วขึ้น”นายธงชัยกล่าว

ส่วนแผนธุรกิจในปี 2563 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ทื่ 11,000-12,000 ล้านบาท จากยอดขายรอโอน (Backlog) จำนวน 17,000 ล้านบาท แบ่งรับรู้รายได้ในปีนี้ 8,000 ล้านบาท และยังมีโครงการพร้อมขายอีกกว่า 10,000 ล้านบาท ไตรมาส 1จะมียอดโอนจากโครงการ โนเบิล รีโคล สุขุมวิท 19 และโนเบิล บี เทอร์ตี้ทรี สุขุมวิท 39 รับรู้รายได้อย่างมีนัยสำคัญ

นายธงชัยกล่าวกรณีธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% คาดว่าธปท.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยตาม ทำให้ต้นทุนของบริษัทลดลง และกำลังซื้อจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คาดว่าภาครัฐฯอาจจะพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เพื่อให้มีแรงจูงใจในการกลับมาซื้อ

บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 7 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 25,000 ล้านบาท เปิดไปแล้ว 1 โครงการ  โดยมี 2 โครงการ ที่เป็นโครงการร่วมทุน กับกลุ่มฮ่องกงแลนด์ 1 โครงการ และบริษัท ยู ซิตี้ (U) อีก 1 โครงการ คาดว่าจะเปิดปลายเดือนมิ.ย. ส่วนโครงการ NUE ย่านงามวงศ์วาน จากเดิมจะเปิดในไตรมาส 1 เลื่อนออกไป 3-6 เดือน เนื่องจากไข้หวัดโควิด-19 ระบาด แต่ไม่มีผลกระทบต่อรายได้ และยอดขาย รวมถึงรอใบอนุญาต EIA

นอกจากนี้บริษัทฯมีแผนออกหุ้นกู้มูลค่าไม่เกิน 8,000 ล้านบาท เพื่อนำมาชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมที่หมดอายุ และนำมาขยายธุรกิจเพื่อให้มีเสถียรภาพทางด้านการเงินมากยิ่งขึ้น รวมถึงขายสินทรัพย์โครงการ โนเบิล รีมิกซ์ สุขุมวิท 36 เข้ากอง REITs มูลค่าขาย อยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ภายในช่วงไตรมาส 4  และจะรับรู้เป็นรายได้และกำไรทันปีนี้

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2563 จะเติบโตขึ้นจากปีก่อน โดยตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 14,122.12 ล้านบาท รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดมิเนียม ประมาณ 9,000 ล้านบาท โครงการแนวราบ ประมาณ 5,000 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ เช่น โรงแรม ประมาณ 2,000 ล้านบาท

ล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ารวมประมาณ 41,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปีนี้ ประมาณ 14,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ถึงปี 2566 ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าพร้อมโอน (สต็อก)กว่า 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียมกว่า 7,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบประมาณ 1,000 ล้านบาท

บริษัทฯได้วางวิสัยทัศน์ระยะยาว เปลี่ยนออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ให้มีพอร์ตธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ช่วยกระจายความเสี่ยง โดยแตกบริษัทย่อยออกมา 6 กลุ่ม พร้อมให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างภายในองค์กร สร้างรากฐานการเติบโตของทุกประเภทธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจัยภายนอก

ในปีนี้จะเปิดตัวโครงการใหม่ในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้งสิ้น 14 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการกลุ่มสมาร์ทคอนโดมิเนียม แบรนด์ดิ ออริจิ้น 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท โครงการกลุ่มลักชัวรี่คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่ารวม 2,300 ล้านบาท โครงการกลุ่มบ้านจัดสรร 10 โครงการ มูลค่ารวม 12,100 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งแบรนด์บริทาเนีย และแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย ไบรตัน และเบลกราเวีย โครงการกลุ่มอีอีซี 1 โครงการ มูลค่ารวม 1,400 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์เดอะ แฮมป์ตัน (The Hampton) ในศรีราชา ทั้งนี้หากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง และกระแสตอบรับของยอดขายโครงการที่เปิดใหม่ดีขึ้น บริษัทฯก็พร้อมจะเปิดเพิ่มอีก 4 โครงการ

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ช่วง 5 ปีนี้ (2563-2567) จะเป็นช่วงผลักดันให้ทุกบริษัทในเครือสามารถเติบโตไปจนถึงระดับท็อปของประเภทธุรกิจนั้นๆ คาดว่าในปี 2567 จะมีรายได้รวมอยู่ที่ 3-4 หมื่นล้านบาท หากบริษัทไหนเติบโตดี จะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงธุรกิจเช่าคาดว่าจะนำขายในกองรีท (REITs) ในอีก 2-3ปีข้างหน้า

นอกจากนี้มีแผนดำเนินธุรกิจใหม่ๆ หลากหลายเรื่อง อาทิ การพัฒนาแบรนด์บ้านจัดสรรระดับลักชัวรี่ เบลกราเวีย (Belgravia)   เพื่อเจาะตลาดผู้ต้องการบ้านหรูระดับ 10-35 ล้านบาท รวมถึงการกระจายการพัฒนาโครงการไปยังจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ นครปฐม สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง หลังจากสามารถทำให้ทุกบริษัทในเครือก้าวขึ้นสู่ระดับท็อปแล้ว บริษัทอาจพิจารณาการลงทุนในกลุ่มประเภทธุรกิจใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ (Beyond Property) ต่อไป

“หลังจากแตกธุรกิจออกไปแล้ว บริษัทฯจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากบริษัทที่แตกย่อย และสร้างพันธมิตรให้กับบริษัทย่อยในการสร้างการเติบโตที่กว้างมากขึ้น บริษัทฯเปิดรับพันธมิตร เช่น กลุ่มพันธมิตรร่วมทุน (JV Partner), กลุ่มเจ้าของที่ดิน (Land Owner), กลุ่มผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการบริการและอสังหาริมทรัพย์ (Service & Property Related Tech), กลุ่มซัพพลายเออร์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ล่าสุด บริษัทกำลังอยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรใหม่หลากหลายสัญชาติมากขึ้น ”

บริษัทตั้งงบลงทุนประมาณ 15,000 ล้านบาท ใช้ในการเช่าและซื้อที่ดิน เพื่อทำโรงแรม ประมาณ 7,000 ล้านบาท และค่าก่อสร้าง ประมาณ 8,000 ล้านบาท โดยงบลงทุนมาจากสภาพคล่องภายในบริษัทฯ

ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) กล่าวว่า ตลาดอยู่ในช่วงขาลง เป็นโอกาสที่ดีของผู้ซื้อ เพราะภาครัฐมีมาตรการสนับสนุน อัตราดอกเบี้ยต่ำ และบริษัทส่วนใหญ่แข่งขันกันทำโปรโมชั่นและส่วนลดเพื่อเร่งการตัดสินใจซื้อในช่วงนี้ ทางเสนาฯ รวบรวม 7 คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่บน 6 ทำเลศักยภาพที่คัดสรรมาอย่างดี เพื่อจัดแคมเปญพิเศษ “โปรปิดตึกกับยูนิตล็อตสุดท้าย” มอบโปรโมชั่นอย่าจุใจ รับส่วนลดสูงสุด 25% ผ่อนราคาเบาๆ เพียงล้านละ 2,800 บาท/เดือน ราคาเริ่มเพียง 930,000 บาทเท่านั้น เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 10 เมษายน 2563