ความจริงความคิด : การนับอายุงานกรณีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

โดย…สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP

หากให้จัดอันดับการออมที่คุ้มสุดๆ ผมยกให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นอันดับต้นๆเลย เพราะนอกจากเราจะได้เงินสมทบจากนายจ้างแล้ว เรายังสามารถเอาเงินสะสมไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย แถมกรมสรรพากรให้แล้วให้เลยไม่เอาภาษีคืนด้วย (ไม่เหมือน RMF, LTF,SSF หรือ ประกันชีวิตที่หากเราทำผิดเงื่อนไข เราต้องคืนภาษี แถมบางทียังโดนเบี้ยปรับ เงินเพิ่มอีกต่างหาก)

ผลตอบแทนที่ได้ คือ เงินสมทบ ผลประโยชน์ของเงินสะสม ผลประโยชน์ของเงินสมทบ ไม่ต้องเสียภาษี แต่อันนี้ต้องทำตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร โดยหากลาออกจากการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถ้ามี

1. อายุงานน้อยกว่า 5 ปี ต้องนำไปผลตอบแทนทั้งหมดไปคำนวณเพื่อเสียภาษีทั้งจำนวน
2. อายุงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป สามารถเลือกเสียภาษีแยกต่างหากจากเงินได้ประเภทอื่น โดยมีสิทธิหักค่าใช้จ่ายได้ 7,000 บาทคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน เหลือเท่าใดหักได้อีกครึ่งหนึ่ง แล้วคำนวณภาษีตามอัตราภาษีทั่วไป
3. แต่ถ้าออกจากงานเพราะเกษียณอายุ เงินที่ได้รับจากกองทุนจะได้รับการยกเว้นภาษีทั้งจำนวน โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเกษียณที่อายุ
ตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป และเป็นสมาชิกกองทุนตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป แต่หากเกษียณโดยมีระยะเวลาการเป็นสมาชิกกองทุนไม่ถึง 5 ปี ก็ต้องเสียภาษีแบบเดียวกับข้อ 1 หรือเกษียณโดยมีอายุงาน 5ปีขึ้นไป แต่อายุตัวไม่ถึง 55 ปี ก็ต้องเสียภาษีแบบเดียวกับข้อ 2

อายุ 55 นับวันเกิดชนวันเกิด คือ 55 ปีบริบูรณ์ ส่วนอายุงานนี่แหละคือปัญหาที่หลายคนสงสัยนับยังไง ถ้านับเฉพาะบริษัทที่เราทำงาน อันนี้ก็ง่าย นับตั้งแต่วันที่เราเริ่มงาน ช่วงทดลองงานก็นับเป็นอายุงานด้วยครับ จนถึงวันที่เราออกจากสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเลย แต่เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายอนุญาตให้เราสามารถคงเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิมได้ แม้ว่าจะออกจากงานแล้ว และเมื่อได้งานใหม่และเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพใหม่ อันนี้จะสามารถนับอายุงานต่อเนื่องได้หรือไม่ ถ้าได้นับอย่างไร

เรื่องนี้ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๒๕๒) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา ๔๐(๑) และ (๒) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานตามมาตรา ๔๘(๕) และมาตรา ๕๐(๑) แห่งประมวลรัษฎากร ระบุเกี่ยวกับเงื่อนไขการนับอายุงานที่สามารถนับอายุงานต่อเนื่องจากนายจ้างเก่ามายังนายจ้างใหม่ได้ ถ้าปฏิบัติดังนี้

1. มีช่วงระยะเวลาที่ออกจากงานจากนายจ้างเก่าและเข้าทำงานกับนายจ้างอีกคนหนึ่งไม่เกินหนึ่งปี หรือเข้าทำงานใหม่กับนายจ้างเดิมซึ่งมีช่วงระยะเวลาที่ออกจากงานและเข้าทำงานใหม่ไม่เกินหนึ่งปี
2. โอนเงินและผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างเก่าไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างใหม่
3. ตอนออกจากงานนายจ้างเก่านั้น ไม่ได้ใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา ๔๘(๕) แห่งประมวลรัษฎากร

ถ้าปฏิบัติครบ 3 ข้อ กรมสรรพากรยอมให้นับระยะเวลาการทำงานในระหว่างที่ทำงานกับนายจ้างแต่ละคนเป็นระยะเวลาทำงานด้วย
แล้วถ้าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขล่ะ อย่างเช่น ตอนออกจากนายจ้างเก่าใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา ๔๘(๕) แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้ที่ได้รับเมื่อออกจากงานจากนายจ้างคนใดแล้ว หรือเมื่อออกจากงานจากนายจ้างเก่าแล้วมีช่วงระยะเวลาที่ออกจากงานจากนายจ้างนั้นและเข้าทำงานใหม่เกินหนึ่งปี กรมสรรพากรไม่อนุญาตให้นับอายุงานต่อเนื่อง ให้นับระยะเวลาการทำงานเฉพาะที่ได้ทำกับนายจ้างใหม่เท่านั้นครับ

ท่านที่สนใจบทความทางการเงินอื่นๆเพิ่มเติม ขอเชิญไปกด Like ได้ที่ page ใน face book ชื่อ Sathit CFP เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารต่อไปได้ครับ…ขอบคุณครับ

หมายเหตุ มาตรา 40(5) คือ มาตราที่อนุญาตให้ผู้มีเงินได้แบบเงินที่นายจ้างให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานและได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด โดยให้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวหักค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเท่ากับ 7,000 บาท คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานแต่ไม่เกินเงินได้พึงประเมิน เหลือเท่าใดให้หักค่าใช้จ่ายอีกร้อยละ 50 ของเงินที่เหลือนั้น แล้วคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้