กสิกรฯ ส่งสัญญาณลุย ราคาสินทรัพย์รอเด้ง แนะวิธีจัดพอร์ต

HoonSmart.com>>ไพรเวทแบงก์กิ้งธนาคารกสิกรไทยคาดราคาสินทรัพย์สะท้อนปัจจัยมากแล้ว ธนาคารกลางแห่อัดฉีดสภาพคล่อง  แต่ราคาหุ้นที่รีบาวด์จากนโยบายการเงินอาจไปได้ไม่ไกล นักลงทุนระยะสั้นไม่ควรเข้าช้อน ส่วนนักลงทุนระยะยาว พอร์ตหลักเน้นกระจาย-ควบคุมความเสี่ยง ปรับพอร์ตอย่างต่อเนื่องรับมือความไม่แน่นอน  แนะเลือกหุ้นเมกะเทรนด์ เช่นพลังงานแห่งอนาคต

KBank Private Banking ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เผยแพร่บทความ “ฝ่าวิกฤต COVID-19 บนความท้าทายของเศรษฐกิจแบบ 2 ต่ำ 1 สูง” ว่าราคาสินทรัพย์มีโอกาสจะปรับเพิ่มขึ้น (รีบาวด์) อย่างน้อยในช่วงสั้น หลังจากราคาสะท้อนผลกระทบทางเศรษฐกิจไปมากแล้ว และธนาคารกลางมีการอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมหาศาล ผ่านการลดดอกเบี้ยและการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE) ที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นในเวลาอันใกล้ จะบรรเทาความกลัวและแรงกดดันในตลาดการเงินได้

อย่างไรก็ตาม ราคาสินทรัพย์ที่ฟื้นตัวจากผลของนโยบายการเงินอาจไปได้ไม่ไกล ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่อง ไม่สามารถลงทุนระยะยาว (3-5 ปี) หรือไม่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้ ยังไม่ควรเข้าซื้อหุ้นไม่ว่าจะเป็นการช้อนซื้อหรือการไล่ราคา

สำหรับคำแนะนำการจัดพอร์ตลงทุน จากปี 2562 ที่ราคาสินทรัพย์เกือบทุกประเภทพุ่งขึ้นภายใต้เศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงท้ายวัฎจักรการเติบโต (Late cycle) และเผชิญกับสภาวะ ‘2 ต่ำ 1 สูง’ คืออัตราการเติบโตต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ และความเสี่ยงสูง ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอยและความผันผวนของราคาสินทรัพย์ที่ปรับขึ้นมามาก นักลงทุนต้องระมัดระวัง เน้นพอร์ตการลงทุนหลักที่มีกลไกกระจายและควบคุมความเสี่ยงอย่างดี ต้องมีสภาพคล่อง การยอมรับความเสี่ยงคือที่มาของผลตอบแทน ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องหลายประเภทและหลายภูมิภาค

ส่วนพอร์ตเสริมที่สมดุล ถือสินทรัพย์ใกล้เคียงเงินสดจำนวนหนึ่ง นับเป็นพัฒนาการจากการลงทุนแบบดั้งเดิม เพื่อให้ผ่านความท้าทายไปสู่ความยั่งยืนของการสร้างความมั่งคั่ง ได้แก่

นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับ “การกระจายความเสี่ยงมากกว่ากระจายเงินลงทุน” การสร้างสมดุลความเสี่ยงของสินทรัพย์ ในการจัดสัดส่วนเงินลงทุน  สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงจะได้รับเงินลงทุนน้อย สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำจะได้รับเงินลงทุนมาก เช่น ในภาวะตลาดที่หุ้นมีความเสี่ยงสูงกว่าตราสารหนี้ 3 เท่า เงินลงทุน 1 ใน 4 จะลงทุนในหุ้น และ 3 ใน 4 จะลงทุนในตราสารหนี้ ต่างจากการกระจายเงินลงทุนแบบดั้งเดิมที่กระจายเงินลงทุนด้วยการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้อย่างละ 50% ทำให้ความเสี่ยงของพอร์ตที่แท้จริงกระจุกตัวในหุ้น

นอกจากนี้ควรปรับพอร์ตอย่างต่อเนื่อง  เพราะตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยมากมาย พอร์ตการลงทุนหลักต้องปรับให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทที่เปลี่ยนแปลงไป ความคล่องตัวในการปรับพอร์ตและควบคุมความเสี่ยงจึงจำเป็นมาก โดยเฉพาะในภาวะที่ความไม่แน่นอนสูง

“ความเสี่ยงในตลาดหุ้นที่พุ่งขึ้นสูงมากตั้งแต่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้พอร์ตการลงทุนหลักเพิ่มเงินลงทุนในตราสารหนี้ขึ้น พร้อมๆ กับลดสัดส่วนเงินลงทุนในหุ้นรวมทั้งลดอัตราทด (Leverage) ลงมาตลอดตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ได้รับผลกระทบน้อยกว่าพอร์ตการลงทุนแบบดั้งเดิมอื่นๆ”

ส่วนการเลือกหุ้น ภายใต้โหมดระมัดระวัง นักลงทุนควรจัดสรรเงินลงทุนส่วนหนึ่งในกลุ่มธุรกิจ Mega trend หรือธุรกิจที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ (Disrupt) ให้แก่ธุรกิจแบบเดิมที่มีมานาน ด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลก สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ตลอดจนวิถีชีวิตของคน ทำให้ธุรกิจนี้มีแนวโน้มที่จะอยู่รอดและเติบโตต่อไป เช่น 1) ธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ (Health Tech) อาทิ การวินิจฉัยโรคจากระยะไกล การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ หรือเทคโนโลยีชีวภาพ 2) ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต เช่น พลังงานจากลม แสงอาทิตย์ และแบตเตอรี่ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการพลังงานสะอาด  3) การจัดการคุณภาพดินและน้ำ  เพื่อสร้างโอกาสเข้าถึงและเพิ่มปริมาณน้ำดื่มสะอาดให้กับประชากรในทุกพื้นที่ของโลก การลงทุนใน Mega trend เหล่านี้นับเป็นการสร้าง “โลกอนาคต” ที่ยั่งยืน พร้อมผลตอบแทนที่ “ดี”