บล.ทิสโก้แจกหุ้นเด่น 10 กลุ่ม กลยุทธ์เน้นลงทุนปลอดภัย

HoonSmart.com>> บล.ทิสโก้ แนะขายกระชับพอร์ต รอซื้อกลับช่วงย่อตัว ชี้ 3 ประเด็นต้องติดตามใกล้ชิด จัดพอร์ต 10 กลุ่มปลอดภัยให้เลือกลงทุน หุ้นเด่นเดือนเม.ย. BAM-BJC-DTAC-PTTEP-RBF-SCC-TVO ตลาดหุ้นไทยดิ่งแรง 2.91% แซงภูมิภาค สวนทางยุโรป-ดาวโจนส์ล่วงหน้า กลุ่มพลังงานถูกถล่มหนัก เจอราคาน้ำมันดิบต่ำสุดในรอบ 18 ปี

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นฟื้นตัวยังมีความเปราะบางสูง กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนควรขายกระชับพอร์ตช่วงราคาหุ้นปรับขึ้น และรอจังหวะย่อตัวทยอยซื้อคืน ส่วนการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรควรทำอย่างระมัดระวัง และใช้การตัดขาดทุน (Stop Loss) เมื่อดัชนีหุ้นไทยปิดต่ำกว่าระดับ 1,200 จุด

ประเด็นหุ้นที่น่าสนใจ บล.ทิสโก้ให้ความสำคัญที่ความปลอดภัย โดยแบ่งเป็น 10 กลุ่ม อาทิ พิจารณาจาก 1) ความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน ราคาหุ้นลงลึกเกินไป และราคายังมีโอกาสปรับขึ้นจากมูลค่าที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐาน แนะนำ PLANB, PYLON, SAT และ VNT 2) อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบน้อยจาก COVID-19 หรือมีความทนทานสูงจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวรุนแรง แนะนำกลุ่มค้าปลีก CPALL และ BJC กลุ่มอาหาร CPF และ RBF กลุ่มสื่อสาร DTAC, INTUCH และ TRUE กลุ่มโรงพยาบาล BDMS และอื่นๆ คือ BAM และ 3) หุ้นปันผล แนะนำ AP, BTSGIF, DIF, INTUCH, KKP, NYT, SMPC และ TVO

ส่วนหุ้นเด่นเดือนเม.ย. ได้แก่ BAM, BJC, DTAC, PTTEP, RBF, SCC, TVO

นายอภิชาติกล่าวว่า ตลาดหุ้นโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดในเดือนมี.ค.มากกว่า 20% ซึ่งในทางเทคนิคถือว่าหลุดพ้นจาก “ภาวะหมี” หรือ “Bear Market” แล้ว โดย MSCI World Index ขึ้นมาซื้อขายที่ระดับประมาณ 470 จุด จากที่แตะจุดต่ำสุดในเดือนที่แล้วที่ 384 จุด ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปซื้อขายที่ประมาณ 1,250 จุด จากที่แตะจุดต่ำสุดในเดือนมี.ค.ที่ 969 จุด เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกที่มีสัญญาณดีขึ้น รวมทั้งหลายประเทศทยอยออกมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการทางการเงิน, มาตรการทางการคลัง และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวในครั้งนี้ยังมีความเปราะบางสูง เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ คือ 1) สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ยังไม่สามารถจะประเมินได้ว่าจะจบลงเมื่อไร และสิ่งที่สำคัญถัดไป คือ การจะกลับไปเปิดเศรษฐกิจอย่างไร (Exit Strategy) โดยไม่ให้มีการระบาดรอบสองหรือรอบสาม  2 ) การลงมือในภาคปฏิบัติของมาตรการเยียวยาฯ ระยะที่ 3 มูลค่ารวม 1.9 ล้านล้านบาท  หากมีการใช้จ่ายเงินตามมาตรการเยียวยาฯ คาดว่าจะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 4.5 แสนล้านบาทในปีนี้ ช่วยหนุน GDP เติบโตได้ประมาณ 1.3-1.4% แต่ก็ยังห่างไกลที่จะช่วยดึง GDP ปีนี้ให้ขึ้นมาขยายตัวจากปัจจุบันที่คาดว่าจะเติบโตติดลบ 6.9%

3) คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ และประมาณการกำไรยังมีแนวโน้มปรับลงอีก ส่งผลให้ราคาหุ้นฟื้นตัวอย่างจำกัดจนกว่าจะมีพัฒนาการทางปัจจัยพื้นฐานสอดรับกัน และ 4) ทิศทางราคาน้ำมันยังผันผวน แม้โอเปกพลัส จะลดกำลังการผลิตลงแบบขั้นบันไดสูงสุดที่ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันแล้วก็ตาม เนื่องจากตลาดยังถูกกดดันจากสภาวะอุปทานล้นตลาดต่อไป หลังตลาดคาดการณ์ว่าอุปสงค์การใช้น้ำมันได้หายไปแล้วเกือบ 30 ล้านบาร์เรลต่อวันจากผลกระทบของโควิด

ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) วิเคราะห์ว่า หุ้นพลังงานต้นน้ำ เช่น PTTEP, PTT มีโอกาสอ่อนลงในระยะสั้น เพราะได้รับผลลบจากราคาน้ำมันร่วงน่าจะมีการขายทำกำไรทั้งในตลาดน้ำมันและหุ้น ส่วนกลุ่มโรงกลั่น ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบลดลง (ต้นทุนวัตถุดิบต่ำลง) แต่อุปสงค์น้ำมันสำเร็จรูปก็ร่วงแรง เน้นซื้ออ่อนตัวลง

กลุ่มโอเปกพลัสมีมติลดปริมาณการผลิตลง 9.4 ล้านบาร์เรล/วัน เป็นเวลา 2 เดือน นับตั้งแต่ 1 พ.ค.63 เป็นต้นไป สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่าอุปสงค์น้ำมันลดลงมากช่วงโควิด-19 เพราะการปิดประเทศทั่วโลก 187 ประเทศ แม้มีคาดการณ์ว่ามาตรการปิดประเทศจะผ่อนคลายลงในครึ่งหลังของปี 2563  แต่อุปสงค์น้ำมันในปีนี้จะลดลงจากปีก่อนราว -9.7 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นการลบล้างการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์สะสมใน 10 ปีที่ผ่านมา ด้านสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ (สิ้นสุด 10 เม.ย.) พุ่งขึ้นเป็น 19.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นการเพิ่มต่อเนื่องมา 12 สัปดาห์แล้ว

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 16 เม.ย. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ระดับต่ำสุด 1,200.15 จุด ทรุดแรง 35.95 จุด หรือ -2.91% ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 59,613.37 ล้านบาท นับว่าปรับตัวลงแรงกว่าตลาดเอเชียส่วนใหญ่ เช่น ดัชนีนิเคอิ ญี่ปุ่น ติดลบ 1.33% ดัชนีฮั่งเส็งฮ่องกง ลดลง 0.58% ขณะที่ดาวโจนส์ล่วงหน้าบวกกว่า 100 จุด และยุโรปเพิ่มขึ้น เพราะตลาดหุ้นไทยมีน้ำหนักหุ้นพลังงานและเกี่ยวเนื่องสูงมาก ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันต่ำสุดในรอบ 18 ปี สัญญาน้ำมันดิบ  WTI หลุด 20 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำให้นักลงทุนสถาบันไทยทิ้งหุ้น -4,473 ล้านบาท และต่างชาติขาย -2,255.19 ล้านบาท รายย่อยรับเต็ม 6,119 ล้านบาท ด้านค่าเงินบาท ปิด 32.66 แข็งค่าจากช่วงเช้าหลังมีแรงขายดอลลาร์