SCBS ชี้ SET ฟื้นตัวเร็วฉุดผลตอบแทน Q2/63 เริ่มจำกัด แนะหุ้น Defensive

HoonSmart.com>> บล.ไทยพาณิชย์ มองผลตอบแทนตลาดไตรมาส 2/63 เริ่มจำกัด หลังดัชนีฟื้นตัวเร็ว แนะกลยุทธ์เน้นหุ้น defensive หุ้นคุณภาพสูง ชู BDMS, BEM, BTS, CPF,MINT

สุกิจ อุดมศิริกุล

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในวันที่ 23 มี.ค.2563 SET index ที่ระดับ 1024.46 จุด โดยเดือน เม.ย.2563 เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว 13% และฟื้นตัวสูงถึง 24% จากจุดต่ำสุด ถือว่าเป็นอัตราการฟื้นตัวที่เร็วกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ หลังจากที่เคยปรับตัวลดลงแรงถึง 33% จากจุดสูงสุดช่วงกลางเดือนม.ค.2563 เนื่องจากระดับความเสี่ยงโดยภาพรวมทั่วโลกลดลง

ทั้งนี้ โดยเฉพาะต้นเหตุของวิกฤติครั้งนี้ คือ ความรุนแรงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยมีอัตราชะลอตัวลง ในขณะที่จำนวนผู้หายป่วยเพิ่มขึ้นตามลำดับ ในหลายๆ ประเทศรวมถึงไทย รวมถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในตลาดการเงิน และความเสี่ยงด้านเครดิต ที่ล้วนปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในช่วงเดือน มี.ค.เป็นผลจากการที่ธนาคารกลางรวมถึงรัฐบาลของประเทศต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ได้เร่งออกมาตรการเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดการเงิน และ ภาคธุรกิจ รวมถึงมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจและประชาชนที่รวดเร็วและมีขนาดของเม็ดเงินที่สูง มากกว่า 10% ของ GDP เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ได้มีการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจมาแล้ว 3 ชุด ดังนั้น จึงส่งผลทำให้นักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นและกลับเข้าลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์เพื่อการลงทุนทุกกลุ่ม

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการระบาดของโควิด-19จะยังไม่จบ รวมถึงความเสี่ยงต่อเนื่องที่อาจจะตามมาได้อีก เช่น ล่าสุดเกิดขึ้นในตลาดน้ำมันดิบยังคงมีโอกาสกระทบบรรยากาศการลงทุนต่อไป แต่เชื่อว่าด้วยความพร้อมของมาตรการด้านต่างๆ จะทำให้โอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในเดือน มี.ค.นั้น มีโอกาสน้อยลงจึงเชื่อว่าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว

“การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยดูเหมือนจะเกิดขึ้น เร็วและแรงเกินไป ทําให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดความผิดหวังถ้าการกลับมาดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องเลื่อนออกไป เพราะเกิดการระบาดระลอกที่สอง ดังนั้นเรามองว่ายังเร็วเกินไปที่ SET จะฟื้นตัวกลับคืนสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในไตรมาส 2-3 นี้ เนื่องจากคาดว่ากําไรในปี 2564 จะตํ่ากว่าปี 2562″นายสุกิจ กล่าว

นอกจากนี้กลุ่มอุตสาหกรรมหลายกลุ่มก็เผชิญกับความท้าทายที่จะกลับมาเติบโตในระดับก่อนเกิดโควิด-19 ด้วย เนื่องจากภาพใหญ่ของประเทศไทยอยู่ในภาวะอัตราดอกเบี้ยตํ่าและการเติบโตต่ำ และหากพิจารณาจากมูลค่าหุ้นปัจจุบันมีระดับ P/E ปี 22563 เท่ากับ 16.8 เท่า หรือเท่ากับระดับ +1SD ของค่า PE เฉลี่ย 7 ปี ก็ถือได้ว่าสะท้อนผลการดำเนินงานของปี 2563 ไปมากแล้ว จึงประเมินว่า ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 2/2563 เริ่มจำกัด แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว ประเมินเป้าหมายของ SET Indexในปี 2564 ที่ระดับ 1,400-1,450 จุด

นายสุกิจ กล่าวว่า นักลงทุนควรเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพ กลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบันยังคงแนะนำให้เลือกซื้อหุ้น defensive และคุณภาพสูง โดยยังคงมุมมองระมัดระวังต่อแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวและอัตราการฟื้นตัวในระยะสั้นยังไม่แน่นอนในสถานการณ์เช่นนี้ แนะนำให้ลงทุนในหุ้น defensive ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งจึงยังคงหุ้น top picks ที่เคยแนะนำไว้ในช่วงต้น ไตรมาสที่ 2/2563 คือ BDMS, BEM, BTS, CPF และ MINT แม้ราคาหุ้นฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว แต่เชื่อว่าราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก เนื่องจากการดำเนินงานมีแนวโน้มที่จะกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ในอนาคตอันใกล้นี้ บล.ไทยพาณิชย์มีมุมมองระมัดระวังต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน และมีความกังวลต่อกลุ่มธนาคารเนื่องจากมีความเสี่ยงด้านกำไรในอนาคตสูง

“คาดผลประกอบการฟื้นตัวในรูปแบบตัวUส่วนตลาดหุ้นเหมือนกำลังฟื้นตัวในรูปแบบตัว V แนะนำเลือกลงทุนกลุ่มที่กำไรสุทธิมีโอกาสฟื้นตัวรูปแบบ V เมื่อประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยกำลังจะกลับมาดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามปกติ อย่างน้อยคงทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น หากมีการเริ่มเปิดตั้งแต่เดือน พ.ค.2563 ได้ตามที่คาด อย่างไรก็ดี โดยปกติแล้ว GDP มักจะใช้เวลา 5-7 ไตรมาส ก่อนที่จะกลับคืนมาเติบโตตามปกติ”นายสุกิจ กล่าว

นอกจากนี้การฟื้นตัวอย่างเต็มที่ของ EBITDA ก็จะใช้เวลามากกว่า 3 ไตรมาส ในขณะที่ตลาดหุ้นกำลังสะท้อนภาพถึงการฟื้นตัวคล้ายในรูปแบบตัวVมากกว่ารูปแบบตัวUซึ่งเราประเมินว่าการฟื้นตัวในปัจจุบันนั้นยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งอาจจะสร้างแรงกดดันต่อupsideของตลาดหุ้นไทยในภาพรวมดังนั้น ด้วยระดับราคาในปัจจุบัน SCBS แนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นที่เราคาดว่ามีโอกาสฟื้นตัวในรูปแบบตัว V เช่น การขนส่งทางบกและราง ภาคการผลิต และ ธุรกิจห้างสรรพสินค้า ในขณะที่ใช้ความระมัดระวังในธุรกิจที่คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวรูปแบบตัวUเช่น ธุรกิจสายการบิน ท่าอากาศยาน โรงแรม และ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ การท่องเที่ยว เพราะต้องใช้ความเชื่อมั่นค่อนข้างสูงในการเดินทาง

นอกจากนี้ ผลกระทบต่อจิตวิทยาผู้บริโภคก็สะท้อนถึงปัจจัยกดดันระยะกลางต่ออุตสาหกรรมบางกลุ่ม เช่น พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ ยานยนต์ ซึ่งจําเป็นต้องใช้เงินลงทุนจํานวนมากท่ามกลางกําลังซื้อที่ลดลง ความเสี่ยงเรื่องการปรับลดประมาณการกำไรได้มีการสะท้อนผ่านมุมมองของนักวิเคราะห์ไปบ้างแล้ว

สำหรับปัจจัยที่นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังติดตามอย่างใกล้ชิด คือ การปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี2020โดยพบว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในตลาดได้มีการปรับลดประมาณการไปบ้างแล้วแต่อาจยังไม่ต่ำสุด ทั้งนี้ คงต้องรอดูข้อมูลและสถานการณ์ของโควิด-19 ประกอบอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดตลาดคาดว่าโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากที่สุดในไตรมาส 2 และ 3 ปี 2563 ก่อนที่ผลกระทบจะลดลงในช่วงไตรมาส 4/2563

นายสุกิจ กล่าวว่า มุมมองล่าสุด SCBS คาดว่า กำไรสุทธิต่อหุ้น (SET EPS) ปี 2563 จะปรับตัวลดลง 22% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน โดยหลักๆ เกิดจากยอดขายที่หดตัวลง 16% ทั้งนี้ ตัวเลข SET EPS ปี 2563 ของ SCBS ยังตํ่ากว่า consensus อยู่ 17% สะท้อนภาพว่าตลาดอาจมีการปรับลดประมาณการได้อีก ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2563 ประมาณการ SET EPSปี 2563/2564 ถูกปรับลดลงมาแล้ว 26% และ 18% ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ 13% ในปี 2563 และ 8% ในปี 2564

SCBS คาดว่า SET EPS ปี 2564 จะเติบโต 25% จากฐานตํ่าในปี 2563 ซึ่งสอดคล้องกับ EPS ของตลาดหุ้นภูมิภาคที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 30% อย่างไรก็ตาม ในแง่มูลค่าของกําไรสุทธิของ SET อาจจะยังไม่ฟื้นตัวกลับคืนสู่ระดับปี 2562 จนกว่าจะถึงปี 2565 สะท้อนภาพการฟื้นตัวที่ยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ ของบางธุรกิจ เช่น ธนาคาร อาหาร อสังหาริมทรัพย์ และ ท่องเที่ยว เป็นต้น ส่วนธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี ยังคงต้องประเมินทิศทางของราคาน้ำมันดิบต่อไป

ความเสี่ยงต่อไป คือ ความผิดหวังหากการเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจช้ากว่าคาดแม้เราเชื่อว่าการกลับมาดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น แต่ระดับการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในปัจจุบัน ถือว่าได้มองข้ามผลกระทบของโควิด-19 ในปี 2563 ไปพอสมควรแล้วดังนั้น SCBS จึงประเมินว่า ตลาดอาจพบกับความผิดหวังในอนาคตบ้าง หากการกลับมาดำเนินธุรกิจไม่ได้เร็วตามที่ตลาดคาดหวังไว้ ทั้งนี้ รวมถึง ความเสี่ยงของการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ที่ตลาดยังไม่ได้รับรู้เท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่บวก ถ้าประเทศไทย และประเทศหลักๆ เช่น สหรัฐฯ จีน และ ยุโรป ไม่ประสบกับการระบาดระลอกที่สองหลังจากกลับมาดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จะทำให้มุมมองของ SCBS ที่คาดว่า SET Index ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วมีน้ำหนักมากขึ้น ดังนั้น เป้าหมายการปรับตัวลดลงในระยะสั้นที่มองไว้ก่อนหน้านี้ที่ 950 จุดไม่น่าจะใช้ได้อีกต่อไป