BAM เจ็บแค่ช่วงสั้น โควิดดันกำไร “พีค” ปี 66

HoonSmart.com>>นักลงทุนโดยเฉพาะ”รายย่อย” หากรักจะเข้าไปเก็งกำไรหุ้นบริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) แล้วละก็ จะต้องไม่ตื่นตะหนกทิ้งหุ้นตามกระแสข่าว และที่สำคัญจะต้องติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง จะต้องทำความเข้าใจเรื่องการทำธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายอย่างลึกซึ้ง มิเช่นนั้นจะพลาดโอกาส”รวย” เหมือนนักลงทุนสถาบัน ทั้งไทยและต่างประเทศ

โดยเฉพาะในช่วงนี้ โควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก ส่งผลกระทบกับทุกธุรกิจ BAM เองก็ไม่ได้รับการยกเว้น แต่ขณะเดียวกัน สามารถสร้างโอกาสทองให้กับ BAM ได้เช่นกัน

BAM ทำธุรกิจซื้อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) และซื้อทรัพย์สินรอการขาย (NPA) มาบริหารจัดการ ต้องใช้เงินทุนสูงและรอเวลาเป็นปีๆ กว่ารายได้และกำไรจะเข้าบริษัทเป็นกอบเป็นกำ ตามขั้นตอนในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะในส่วนลูกหนี้ เริ่มตั้งแต่การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ พิจารณาถึงความสามารถของลูกค้า ในการกำหนดตารางเวลาการผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ที่ผ่านมาก็ทำได้ดี แต่เมื่อโควิด- 19 สร้างผลกระทบไปทั่วโลก ลูกค้าก็ไม่สามารถผ่อนได้เหมือนเดิม โดยเฉพาะในเดือนมี.ค.ที่มีการล็อกดาวน์ธุรกิจและประเทศไทย ทุกคนลำบากมาก BAM จะต้องช่วยดูแล เพื่อให้ลูกค้าผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้อย่างราบรื่น

“มีลูกหนี้ชั้นดีหลายรายที่เคยจ่ายหนี้สม่ำเสมอ มาขอลดภาระในการจ่ายดอกเบี้ย ลดเงินงวดในการผ่อน ส่งผลกระทบต่อรายได้ของ BAM ในไตรมาส 2 มากหน่อย แต่ไตรมาส 1 ยังดีอยู่ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ทุกอย่างก็จะค่อยๆกลับมาดีขึ้น และอาจจะดีขึ้นมากกว่าเดิม เหมือนเมื่อตอนเกิดวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ปี 2550 ราคาอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนียมปรับตัวขึ้นมามากในปี 2556-2557 มั่นใจว่าปัญหาจากโควิดจะส่งผลกระทบเพียงช่วงสั้นเท่านั้น แม้ว่ายังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อนานแค่ไหนก็ตาม ด้วยโมเดลธุรกิจของ BAM ทรัพย์ที่ซื้อเข้ามาจะสร้างรายได้และกำไรสูงสุด “พีค” ในปีที่ 4 หรือปีที่ 5 ” 

ในปี 2563 จะมีความพิเศษกว่าที่ผ่านมา บริษัทได้เงินจากการขาย IPO เข้ามาประมาณ 3,940– 4,489 ล้านบาท แบ่งจำนวน 394-449 ล้านบาท ไปลงทุนซื้อทรัพย์สินก้อนใหม่ ถือเป็นจังหวะที่ดี ตลาดมี NPLs และ NPA ออกมาให้เลือกซื้อจำนวนมาก มั่นใจได้ว่าผลตอบแทนจะออกดอกออกผลเข้ามาเยอะในปี 2566 ถึงปี 2567

นอกจากนี้ เงิน IPO ส่วนใหญ่คือประมาณ 3,546 –4,040 ล้านบาท บริษัทจะนำไปชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน หรือคืนหนี้หุ้นกู้- ตั๋วเงินจ่ายในปีนี้ด้วย  ก็เป็นจังหวะที่ดีมาก ๆ แบงก์เพิ่งปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.40 % ยังไม่รวมกับที่ลงก่อนหน้านี้ หาก BAM  รีไฟแนนซ์หนี้ หรือไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ออกมาหลายชุด อายุ 3-15 ปี ต้นทุนเฉลี่ย 3% ต่อปี คาดว่าจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ประมาณ 0.50% ต่อปี ช่วยประหยัดต้นทุนทางการเงินเยอะมาก บริษัทมีหนี้สินทั้งหมดกว่า 7 หมื่นล้านบาท  ณ สิ้นปี 2562 แต่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใช้วิธีการใดดี เพราะมีธนาคารหลายแห่งเสนอให้สินเชื่อ ด้วยเงื่อนไขที่ดีมาก

ภายใต้ปัจจัยลบ ก็ยังมีปัจจัยบวก ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่ควรรีบขายหุ้นออกมาตอนนี้ หากตัดสินใจภายใต้ข้อมูลผลกำไรไตรมาส 2 ไม่ดี เป็นสิ่งที่ราคา-ตลาดซึมซับข้อมูลนี้แล้ว

BAM เป็น “หุ้นมหาชน” ราคาหุ้นลงแรงเมื่อไร มักจะมีแรงซื้อเข้าไปรับทันที ทำให้เด้งกลับเร็ว  เหมาะสำหรับ “เล่นสั้นได้ ถือลงทุนยาวยิ่งดี”

หากขายไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ หรือตัดสินใจจากข้อมูลระยะสั้นอาจจะพลาดโอกาสการขึ้นรถไฟขบวนยาว  เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 16 ธ.ค. 2562 ช่วงแรกราคาหุ้นต่ำกว่า IPO ที่ 17.50 บาท  หลายคนตัดสินใจผิดพลาด ทิ้งไปแล้ว คงไม่สนใจซื้อคืน แต่กลับเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนที่มองธุรกิจได้ทะลุปรุโปร่ง  โดยเฉพาะสถาบัน เช่น กองทุนภายใต้การบริหารงานของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย ที่เข้ามาเก็บหุ้นจำนวนมาก แต่ก็เคยตัดสินใจพลาดเหมือนกัน ที่เห็นราคาขึ้นมามาก ถือโอกาสขายทำกำไร สุดท้ายต้องมาไล่ซื้อกลับคืนเช่นเดียวกัน

สำหรับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ มีหลายรายที่ซื้อตอน IPO แล้วยังคงถือมาจนถึงทุกวันนี้ บางรายก็ซื้อเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งอยู่ในรูปของบริษัทไทยเอ็นวีดีอาร์ ถือรวมกันเป็นอันดับที่สอง จำนวน 86 ล้านหุ้น หรือ 2.67%

ส่วนรายที่สามารถ “เรียกแขก”ได้ คือ CIG กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ มีชื่อโผล่เข้ามาถือหุ้นใหญ่อันดับที่สาม แต่คงไม่หยุดอยู่กับการถือหุ้นเพียง 54 ล้านหุ้น หรือ 1.69% เท่านั้น คาดว่าคงจะเข้ามาซื้อเพิ่มขึ้น ราคายังไม่หนีห่างจากต้นทุนที่เข้ามาเก็บแถว  20 บาทมากนัก

ในทางกลับกัน ก็มีนักลงทุนสถาบันที่ขายออกไป อาทิ กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว เคยลงทุน 46.11 ล้านหุ้นหรือ 1.53% แต่จากการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นครั้งล่าสุด เพื่อรับสิทธิเงินปันผล กลับไม่มีชื่อเหลืออยู่แล้ว เช่นเดียวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานกฟผ. และกฟภ.

ดังนั้นในช่วงนี้หุ้น BAM ปรับตัวลงจากกรณีนักวิเคราะห์ปรับลดราคาเป้าหมาย  ตามประมาณการกำไรในปี 2563 -2564 รวมถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นโดยรวมไปต่อไม่ไหว นักลงทุนน่าจะหาโอกาสทยอยเก็บหุ้น BAM ไว้บ้าง ราคาล่าสุดปิดที่ 24 บาท ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ตีมูลค่าเหมาะสมไว้  เช่น บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ราคาสูงถึง 30 บาท  บริษัทมีจุดเด่นอยู่ที่ความสามารถจ่ายเงินปันผลทุกปี  ประมาณ 1 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 4% สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แถมมีโอกาสได้แคปปิตอลเกน ติดไม้ติดมือมาด้วย