สัมภาษณ์พิเศษ : เสี่ยแตงโม ตอน เซียนก็มีน้ำตา

หลังจาก “เสี่ยแตงโม – สมเกียรติ ธนัตถ์เจริญกุล” หอบครอบครัว มาปักหลักเชียงใหม่ พฤติกรรมการลงทุนได้เปลี่ยนไป จากการเก็งกำไร สู่การลงทุนหุ้นพื้นฐานระยะยาว แม้ว่า “เสี่ยแตงโม” จะเป็นเซียนปราบหุ้นราบคาบ แต่เซียนก็มีน้ำตาเหมือนกัน

สมเกียรติ ธนัตถ์เจริญกุล

เสี่ยแตงโม : เดือนสิงหาคม ปี พ.ศ 2552 ทีมงานของกลุ่มเพื่อนผม ได้ย้ายที่ทำงาน มาอยู่ที่บริษัทหลักทรัพย์ คันทรีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผมก็ได้ย้ายตามเพื่อนมาเป็นลูกค้าตามปกติ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

การลงทุนในด้านการเก็งกำไร ผมก็ได้เริ่มลดลง โดยหันมามองหุ้นพื้นฐานดี เพราะผมรู้สึกว่า การเข้าออกเร็ว ทำให้ผมรู้สึกว่าเริ่มเหนื่อยมาก กำไรก็ได้แบบไม่เต็มเม็ด เต็มหน่วย แต่ผมก็ยังให้น้ำหนักการเก็งกำไรอยู่ 30% และหันมาซื้อแบบลงทุน 70% ของพอร์ต

ต้นปี 2556 บริษัทหลักทรัพย์ คันทรีกรุ๊ป ก็ได้มีโอกาสเป็นอันเดอร์ไรท์หุ้น บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เนื่องจากผมเป็นลูกค้าของบริษัทมานาน วอลุ่มการซื้อขายสะสมของผมก็มีจำนวนมากพอสมควร บริษัทก็ให้สิทธิ์ผมได้จองซื้อหุ้นบริษัทพลังงานบริสุทธิ์จำนวนหนึ่ง และวันที่ 30 มกราคม 2556 หุ้นก็ได้เข้ามาทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เป็นวันแรก ก่อนจองซื้อหุ้น ผมก็ศึกษาข้อมูลของบริษัทเป็นอย่างดี จนทำให้ผมมองเห็นโครงการของบริษัท มีจำนวนมากถึง 278 เมกะวัตต์

ผมจึงมีความตั้งใจว่า บริษัทนี้ ผมควรจะลงทุนระยะยาว เพราะผมก็เริ่มเห็นด้วยกับข้อมูลต่างๆ ที่บริษัทได้ประมาณกำไรไว้เป็นลำดับ ผมก็เลยคิดว่า เป็นบริษัทที่มีกำไรแบบก้าวกระโดด น่าสนใจมาก ผมเลยมีความคิดที่จะลงทุนระยะยาว

ต่อมาบริษัท พลังงานบริสุทธ์ (EA) ออกข่าวว่า บริษัทจะทำโครงการณ์โรงไฟฟ้าพลังงานลม : หนุมาน : 664 เมกะวัตต์ ในมุมมองผม ผมยิ่งมั่นใจในพื้นฐานของบริษัทมากขึ้นอีกเท่าตัว และเวลาผ่านไปอีกระยะนึง บริษัทยังได้ประกาศว่า จะขยายงานไปธุรกิจแบตเตอรี่ และผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายอีกด้วย

ฉะนั้น ผมยิ่งเพิ่มความมั่นใจขึ้นมาก ว่าจะลงทุนในระยะยาวอีก ซึ่งที่ผ่านมา กำไรของบริษัทก็ออกมาดี ตามแผนของบริษัทที่ตั้งเป้าหมายไว้ แต่หากผมคิดแบบไม่ได้เข้าข้าง บริษัทพลังงานบริสุทธ์ ผมมีความคิดว่า กำไรของบริษัท มีกำไรแบบก้าวกระโดด อีกต่างหากด้วยครับ

ความคิดใหม่ของผม ในอนาคตหากผมไม่ได้เดือดร้อนเงิน เพื่อใช้ในการลงทุนโครงการของผมที่อยากจะทำเพื่อวงศ์ตะกูล หรือครอบครับของผม ผมก็ไม่มีความจำเป็น ที่ต้องขายหุ้นที่ผมคิดว่าดีมาก ดังนั้น ในส่วนที่เกินความจำเป็นของผม ผมก็จะถือว่า หุ้นบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ เป็นมรดกของลูก หรือของวงศ์ตระกูล ก็แล้วกันครับ

การลงทุนในอดีต ผมเคยทำอะไรที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง มีครั้งนึง ผมเคยเข้าไปลงทุนหุ้น TOP ผมจำไม่ผิดแน่ว่า ผมเคยกำไรหุ้นตัวนี้ตัวเดียว ยอดกำไรในอดีตของผมสำหรับตัวนี้ 100 ล้านบาท ผมเคยโม้ !!! ให้เพื่อนชาวหุ้นในอำเภอหาดใหญ่ฟังตลอดว่า ผมกำไรตัวนี้ ตัวเดียวร้อยล้าน สุดท้าย ผมก็ทนเห็นกำไรที่งดงาม และเกิดความอยากขาย เพราะคิดว่า ตัวผมเองกำไรเยอะมากแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจขาย หลังจากนั้น พอหุ้นราคาขยับขึ้นไป ผมก็เลยไม่ซื้อลงทุนต่อ

ผมขอพูดอีกตัวหนึ่ง ผมแอบคิดว่า เป็นหุ้นเสือนอนกิน เพราะใครจะขึ้น หรือใครจะลง บริษัทนี้จะรับรายได้ตลอด และมั่นคงมากๆ ก็คือ AOT หุ้นตัวนี้ ก็เป็นบทเรียนของผม ตัวผมเองคิดอยู่ตลอดว่า ดีมาก แต่ผมก็ไม่ยอมลงทุนระยะยาว เพื่อนๆ นักลงทุนครับ หากผมจำไม่ผิด หุ้นตัวนี้ ในอดีตมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 10 บาท วันนี้ เหลือพาร์แค่ 1 บาท ผมจำได้ว่า ผมขายไปประมาณราคา 79-80 บาท หากผมไม่ได้ขายในวันนั้น วันนี้ผมจะมีกำไรเท่าไหร่ครับ ผมมีเรื่องเล่าเยอะแยะมากมาย แต่ผมคิดว่า เอาแบบหอมปากหอมคอก็พอนะ เพราะมันไม่มีประโยชน์ต่อนักลงทุนครับ

ผมอยากจะเล่าความผิดพลาดในการลงทุน หุ้น 2 ตัวครับ

ความล้มเหลวในการลงทุนหุ้นเก็งกำไรในอดีต ผมเจ๊งเพราะคนรอบข้าง หรือคนที่เราไว้ใจ เพราะอะไร ??? หุ้นเก็งกำไร เป็นหุ้นที่น่ากลัวมาก ส่วนใหญ่จะมาทางโทรศัพท์ หรือเสียงกระซิบ ผมโชคดี เพราะผมเป็นคนตื่นตัวตลอด ไม่เคยไว้ใจใคร หากผมเองเห็นอะไร แปลกๆ เช่น เทคนิค หรือการซื้อขายระหว่างวัน ดูแล้วผิดปกติ ไม่ว่าจะขาดทุนเท่าไหร่ ผมพร้อมตัดใจขายทันที ไม่มีเยี่อใยครับ

ส่วนหุ้นที่ผมมีความคิดว่า จะลองลงทุนระยะยาว หรือบางครั้ง เผอเรอ ไปเชื่อในสิ่งที่เขาวาดฝันไว้ ให้เราคิดตามว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เส้นทางการลงทุนของผม ที่ผ่านมา เจ็บปวดไม่ใช่เล่น และผมเพิ่งตัดขาดทุนเมื่อไม่นานมานี้เอง ตัวที่หนึ่งเป็นหุ้นกลุ่มสื่อสาร ตอนแรกผมก็เห็นว่า มีกลุ่มทุนจากต่างประเทศมาร่วมทุน และเป็นที่น่าเชื่อถือมาก

เชื่อไหมครับ เพื่อนๆ นักลงทุน หุ้นตัวนี้ ผมซื้อลงทุนใหม่ๆ หุ้นตัวนี้ ผมมีกำไรเกิน 50% เลยทีเดียว แต่ผมเชื่อมั่นว่า น่าจะไปได้ต่อ อาจจะได้ เป็น 100-200% เพราะความน่าจะเป็นไปได้ในช่วงภาวะนั้น อีกทั้งผมก็เคยประกาศว่า ผมจะถือลงทุน เป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้น เวลาได้ผ่านพ้นไป จากที่ราคาในกระดานเคยกำไร 50% ก็เริ่มถอยหลังลง มาจนเท่าทุนที่ผมลงทุนไว้ ผมก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ว่า อาจเป็นเพราะสภาพตลาดไม่เอื้ออำนวย ราคาปรับลงมา มันก็เป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไป

ในช่วงเวลานั้น ผมอาจจะมั่นใจผู้มาขอร่วมทุนมากเกินไป จึงแอบเชื่อว่า ในอนาคต บริษัทนี้ น่าจะกลับขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งเมืองไทยได้ ภายในไม่ช้าก็เร็ว แต่นับวัน ยิ่งถอยหลังลงคลองทุกที จนล่าสุด ตัวเลขในพอร์ต จากบวก มาเป็นลบ 35% เห็นจะได้ อีกทั้งผมก็เฝ้ารอผลประกอบการ ก็ยังไม่มีวี่แวว จะสามารถทำกำไรได้ ขนาดบริษัทยอมลดพาร์ เพื่อล้างขาดทุนสะสมก็แล้ว ก็ไม่ส่งผลดีต่อผลประกอบการเลย สุดท้ายผมก็อดทนลงทุนไม่ไหวจริงๆ

ก่อนหน้าที่ผมจะสั่งขาย ผมก็นั่งคิด นอนคิดว่า ผมไม่ควรเสียเวลากับบริษัทนี้อีกต่อไปแล้ว ผมยอมตัดใจขายขาดทุนไปดีกว่า ผมถืออยู่ 4 ปี ขาดทุน 35% ผมก็ปลอบใจตัวเองว่า เฉลี่ยต่อปี ก็ยังไม่ถึง 10% ผมควรจะยอมรับความผิดพลาดดีกว่า และนำเงินส่วนนี้ไปหาบริษัทใหม่ลงทุน จะมีโอกาสมากกว่า

ล่าสุดผมก็ได้เห็นเขาขายสินทรัพย์ และก็โชว์ผลประกอบการกำไรเป็นครั้งแรก แต่เพื่อนนักลงทุน กรุณาดูพี/อี เรโช สิ 555 สูงเป็นร้อยเท่า ผมแทบไม่ต้องเอ่ยชื่อ ผมคิดว่า เพื่อนๆ นักลงทุนทราบดีว่า ผมหมายถึงบริษัทอะไร เวลาผมเจ็บปวด และผิดหวัง ผมจะจารึก แค่ทำไม ??? ผมจึงขาดทุน เพราะสาเหตุใด ส่วนชื่อนั้น ผมจะไม่มีทางจดจำ กลับกันหากผมมีกำไรบริษัทไหน ผมขายไปแล้ว ขึ้นต่อ ผมจะจดจำไปตลอดชีวิต ถึงแม้ผมขายไปแล้วราคายังขึ้นต่อ ผมก็จะเป็นฝ่ายเชียร์ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป

ตัวที่สอง เป็นหุ้นกลุ่มที่ฟีเว่อร์มาก ฮิตสุดๆ เป็นหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน ผมเข้าลงทุนตั้งแต่เริ่มเข้าตลาดใหม่ ผมอ่านโครงการของบริษัท ก็ใช้ได้ในระดับหนึ่ง บริษัทราคาพาร์ 1 บาท ซึ่งผมดูพี/อี เรโช ก็ไม่ได้สูงมากนัก มีข่าวดีมาตลอด ออกข่าวต่อเนื่องตลอด ผมเองก็แอบคิดว่า สักวันคงจะลากราคามาทำนิวไฮได้สักวันหนึ่ง ผมใช้เวลาลงทุนนานเหมือนกัน ก็ประมาณ 4 ปีเหมือนกัน

จริงๆ แล้ว ผมก็ตามข่าวตลอดนะว่า ไปทำไฟฟ้าต่างประเทศ ซึ่งออกข่าวแบบเดิมเรื่อยๆ คือเน้นร่วมทุนทำที่ต่างประเทศ และอยู่มาวันหนึ่ง ก็มีบริษัทอื่นๆ มาซื้อหุ้นเพิ่มทุน (PP) สาเหตุที่ทำให้ผมเริ่มเบาใจว่า บริษัทน่าจะมีความดีอยู่บ้าง เพราะมีคนมาร่วมลงทุนเพิ่มอีก ในระหว่างที่ผมถือลงทุน ราคาก็อ่อนตัวลงมาเรื่อยๆ ผมก็ได้ดูกำไรของบริษัท ก็ไม่มีกำไรแบบก้าวกระโดดอะไร กำไรเรียบเฉย ไม่มีความโดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ

ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจล้างพอร์ต ยอมตัดขาดทุนไปเลย ผมขายตอนนั้นราคาประมาณ 4 บาท กว่าๆ ขาดทุนก็ประมาณราวๆ เดียวกันคือ 30-35% ในตอนนั้น ผมคิดว่า ราคาที่ผมขาย น่าจะต่ำมากแล้ว แต่วันนี้ ล่าสุดยังสามารถ ลงมาไม่ถึง 3 บาท ผมอยากจะร้องโอ้โห !!!! จริงๆ ครับ วันนี้ ผมบอกได้เลยว่า ผมโชคดีมาก เพราะหากผมไม่ยอมตัดใจ วันนี้ ผมอาจจะคอขาดไปแล้วครับ

ความเห็นของผม สำหรับตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันนี้ ตลาดหุ้นไทยทุกวันนี้ดีมากครับ ไม่ว่าจะเป็นวอลุ่มของตลาด มีสภาพคล่องที่สูงมาก วอลุ่มเฉลี่ยต่อวัน ก็มีจำนวนวอลุ่มการซื้อขายเฉลี่ย อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ซึ่งผมพอใจเป็นอย่างมาก เพราะในส่วนตัวผม การลงทุนแต่ละบริษัท ผมก็แบ่งการลงทุนอย่างสบายใจ สามารถซื้อง่าย ขายคล่อง ซึ่งแตกต่างจากอดีต โดยสิ้นเชิง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ ผมได้เน้นลงทุนหุ้นเก็งกำไร มากเกินไป หากอดีตผมมุ่งเน้นหุ้นพื้นฐานดีๆ ปัญหาของสภาพคล่อง ก็คงไม่มีปัญหาเหมือนหลายสิบปีก่อนก็ได้ครับ

นักลงทุนที่ได้เข้ามาลงทุนตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันนี้ เหล่าบรรดา นิสิตนักศึกษา ก็ให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นไทยเป็นจำนวนมาก เพราะผมรู้จากลูกสาวของผม ตอนศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยเอแบคบางนา ว่า เพื่อนๆ ของลูกสาวผม ก็ได้ให้ความสนใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้น กันมานานแล้ว ตลอดจนนักลงทุนที่ได้ลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นไทยมานานแล้วนั้น ผมเชื่อว่า ประสบการณ์ในการลงทุนน่าจะมีการพัฒนาการที่ดีขึ้นมากครับ ตลอดจนสิ่งที่สำคัญสุดก็คือ นักลงทุนได้ฟังคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ที่อยู่ตามบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ซึ่งมีชื่อเสียงจำนวนมาก

บางครั้งผมยังแอบอิจฉาเลยครับ ในอดีต ผมน่าจะมีสิ่งดีๆ แบบนี้บ้าง แต่ไม่เป็นไรครับ ตลาดหุ้น มีคนเก่งๆ คอยให้คำปรึกษา ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ผมดีใจด้วยครับ