SKY เคาะขายหุ้น PP “คิงเพาเวอร์-เมืองไทยประกันภัย” ราคา 12.80 บาท

HoonSmart.com>> บอร์ด “สกาย ไอซีที” เคาะขายหุ้น PP ให้กลุ่มคิงเพาเวอร์และเมืองไทยประกันภัยรวม 20 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 12.80 บาท มูลค่ารวม 256 ล้านบาท จองซื้อ 19-22 พ.ค.นี้ ด้านผลดำเนินงานไตรมาส 1/2563 มีรายได้ 719.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็ก 2.8% กำไรสุทธิ 19.4 ล้านบาท

สิทธิเดช มัยลาภ

นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที (SKY) ผู้นำการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานความมั่นคงปลอดภัย ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับประเทศ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท โดยได้รับมอบหมายจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ได้มีมติอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทให้แก่บุคคลในวงจำกัด จำนวน 3 ราย ได้แก่ 1.น.ส.อรุณรุ่ง ศรีวัฒนประภา จำนวน 10 ล้านหุ้น 2.นางสาวบุศรา อุไรกุล จำนวน 5 ล้านหุ้น และ 3.บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 5 ล้านหุ้น โดยกำหนดระยะเวลาจองซื้อและชำระเงินค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนในวันที่ 19-22 พ.ค.2563 และกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 12.80 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมเท่ากับ 256 ล้านบาท

สำหรับนักลงทุนทั้ง 3 รายถือเป็นผู้ที่มีความรู้และความชำนาญในธุรกิจการให้บริการท่องเที่ยวและประกันฯ รวมทั้งเข้าใจถึงความต้องการด้านเทคโนโลยีและด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว การเข้ามาร่วมทุนในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยในการให้คำแนะนำที่มีประโยชน์และส่งผลให้การทำงานและการขยายธุรกิจของบริษัทฯ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นการเสริมความแข็งแกร่งผ่านการเป็นพันธมิตร ซึ่งมองว่าธุรกิจท่องเที่ยวและประกันจะเป็นธุรกิจที่มีโอกาสขยายตัวอย่างมากในอนาคต

ด้านผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2563 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2563 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 719.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.8 ล้านบาท หรือ 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการที่กลุ่มบริษัทได้ส่งมอบสินค้าและบริการติดตั้งให้แก่ลูกค้าในโครงการขนาดใหญ่ ได้แก่ (1) โครงการจัดหาและติดตั้งระบบวิทยุสื่อสารดิจิตอล ระยะที่ 2 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (2) โครงการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกลของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (Zone C) กลุ่มที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1, (Zone C) กลุ่มที่ 6 ภาคกลาง 1, (Zone C) กลุ่มที่ 5 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3

(3) โครงการจัดหาและติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบริเวณพื้นที่สุ่มเสี่ยงและบริเวณชุมนุมชนในพื้นที่กลุ่มกรุงเทพเหนือ กรุงเทพกลาง กรุงเทพใต้ และกรุงธนเหนือ (4) โครงการจัดหาและติดตั้งระบบวิทยุสื่อสารดิจิตอล ของ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (5) โครงการจ้างเหมาออกแบบ จัดหาพร้อมติดตั้งระบบจัดการโครงข่ายสื่อสารแบบบูรณาการ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (6) โครงการระบบบริหารจัดการกล้อง CCTV ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)

อย่างไรก็ตามในไตรมาส 1/2563 นี้บริษัทก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนทางการเงินจาการเปลี่ยนแปลงของการบันทึกต้นทุนทางการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่า ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.2563 โดยกลุ่มบริษัทต้องรับรู้สินทรัพย์สิทธิการใช้ หนี้สินตามสัญญาเช่า และต้องรับรู้ต้นทุนทางการเงินเป็นค่าใช้จ่ายในรอบปีบัญชีที่เกิดรายการตลอดอายุสินทรัพย์สิทธิการใช้ รวมถึงผลสืบเนื่องจากการอนุมัติงบประมาณการจ่ายเงินของโครงการขนาดใหญ่ที่บริษัทได้มีการส่งมอบงานตั้งแต่ปี 2562 ล่าช้า ประกอบกับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้การดำเนินงานของบริษัทล่าช้ากว่าแผนงานที่กำหนดไว้ทำให้บริษัทมีต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้ในไตรมาส 1/2563 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 19.4 ล้านบาท

“ในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทมีรายได้รวม 719.1 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดมาจากการขาย 192.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 201.3% ซึ่งมาจากในปีนี้บริษัทและบริษัทย่อยเริ่มขยายตลาดไปสู่ภาคเอกชนเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในไตรมาสแรกก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การอนุมัติงบประมาณการจ่ายเงินที่ได้ส่งมอบงานไปแล้ว รวมถึงแผนการดำเนินงานใหม่ล่าช้าออกไป ทั้งนี้คาดว่าปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ภาพรวมธุรกิจและแผนการดำเนินงานของบริษัทจะกลับมาเป็นปกติในเร็วๆนี้” นายสิทธิเดช กล่าว