หุ้น P/E ต่ำ แผลงฤทธิ์ ตปท.โชว์ซื้อ 3 วัน ดัชนีจ่อทะลุ 1,400

HoonSmart.com>>หุ้นโลกสดใสรับผ่อนคลายล็อกดาวน์ ไทยวิ่งแรง 1.61%ได้ปัจจัยบวกท่วมตลาด ดัชนีมีโอกาสลุ้นทะลุ 1,400 จุด ต่างชาติกลับมาซื้อ 3 วันติดต่อกัน รวมเฉียด 9,000 ล้านบาท ปลุกความมั่นใจให้นักลงทุนกล้าลุย ยอมจ่ายแพงพุ่งเป้าบริษัทที่มีพื้นฐาน ราคาถูกเลือกจาก P/E และ P/BV ต่ำ มีข่าวดีสนับสนุน เงินบาทแข็งค่าหนุนกำไรของกลุ่มไฟฟ้า-สื่อสารที่มีหนี้สูง อสังหาริมทรัพย์คึกคัก ครม. ลดภาษีที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง 90% ปี 63 คลังเร่งเคาะแพ็คเกจกระตุ้นท่องเที่ยวหนุนโรงแรม-ท่องเที่ยว พลังงานวิ่งตามราคาน้ำมันดิบ 

วันที่ 2 มิ.ย. 2563 ตลาดหุ้นไทยพุ่งแรง 1.61% เกาะกลุ่มตลาดเอเชียและยุโรป รับเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณฟื้นตัวหลังทยอยเปิดเศรษฐกิจมากขึ้น ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น และไทยมีข่าวดีหลายเรื่องสนับสนุน ผลักดันดัชนีปิดที่ 1,374.18 จุด บวกถึง 21.81 จุดหรือ +1.61% มูลค่าการซื้อขายรวม 70,987ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,089 ล้านบาท ติดต่อกันเป็นวันที่สามรวม 8,986 ล้านบาท แม้ยังห่างไกลกับแรงขายอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีรวมทั้งสิ้นถึง 190,445 ล้านบาท แต่เงินที่เริ่มเข้ามาลงทุนสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนพร้อมที่จะยอมซื้อหุ้นในราคาที่สูงขึ้น ไม่ฟังเสียงเตือนให้ระวังเรื่องแพง ภายใต้กลยุทธ์เลือกซื้อหุ้นที่มีสัดส่วนราคาต่อกำไร(P/E) และสัดส่วนราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี(P/BV)ต่ำ โดยมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เห็นได้จากราคาหุ้นของธนาคารกรุงเทพ(BBL) และธนาคารกสิกรไทย(KBANK) ปรับตัวขึ้นท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น

นอกจากนี้เงินบาทที่พลิกกลับมาแข็งค่าอย่างรวดเร็วและมากกว่าภูมิภาค ก็ส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทที่มีภาระหนี้ต่างประเทศสูงๆ เช่นในกลุ่มโรงไฟฟ้าและสื่อสาร จากไตรมาสที่ 1/2563 เงินบาทอ่อน ทำให้มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมาก รวมถึงดอกเบี้ยยังมีโอกาสปรับตัวลง หลังจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เพิ่งปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งสามประเภท ตามดอกเบี้ยนโยบายท่ลดลง 0.25% เหลือ 0.50% ต่ำสุดในประวัติการณ์ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2563 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้กุล่มอสังหาริมทรัพย์ก็ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น  หลังจากครม. มีมติเห็นชอบลดภาษีที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง 90% สำหรับปี 2563 เช่น LH และ PF ที่มี P/E ไม่ถึง 10 เท่า

ขณะเดียวกันมีแรงซื้อหุ้นท่องเที่ยวและโรงเรม รับข่าวผ่อนคลายล็อกดาวน์ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึง กระทรวงการคลัง เร่งสรุปแพ็คเกจกระตุ้นท่องเที่ยวหวังทันวันหยุดยาวช่วง ก.ค.ที่จะถึงนี้

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นมีโอกาสขึ้นถึงระดับ 1,400 จุด หรือมากกว่าในสิ้นปี 2563 ประเมินจากความเสี่ยงลดลงมาก การควบคุมไวรัสโควิด-19 ได้ดี แต่อาจจะมีแรงขายทำกำไรบ้าง ในช่วงที่ตลาดตึงตัวในปัจจุบัน หวังให้ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบการท่องเที่ยว เหมือนในครั้งก่อนในโครงการ ไทย-เที่ยว-ไทย เพื่อช่วยกระตุ้นให้ภาคท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว

ส่วนหมวดธุรกิจที่สนใจมากที่สุด คืออาหารและเครื่องดื่ม  ส่วนที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้น ถึงแม้มูลค่าจะแพง แต่เม็ดเงินทั่วโลกมีมากล้นตลาด เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น มากกว่าการซื้อพันธบัตร รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งที่สุดในรอบ 2 เดือนที่ผ่าน อยู่ที่ 31.50 บาท  เป็นปัจจัยบวกต่อตลาด อาจจะเห็นเงินทุนจากต่างประเทศ เข้ามาต่อเนื่อง และสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ยังไม่มีผลต่อตลาดหุ้นมาก เนื่องจากค่าเงินของจีนยังไม่ทะลุที่ 7.2 หยวน โดยอ้างอิงจากสงครามการค้าในช่วงที่แล้วที่ทำให้ค่าเงินหยวนขึ้น และส่งผลต่อตลาดหุ้น

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวก ราคาน้ำมันดิบเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จากการกลับมาของการเปิดเมือง ความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการประชุมโอเปกพลัสในเดือน มิ.ย. อาจจะมีการขยายระยะเวลาของการลดกำลังการผลิต

นายวิจิตรแนะนำการลงทุน หุ้นได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า และดอกเบี้ยต่ำ ให้หุ้นพลังงานและโรงไฟฟ้า GPSC , GULF , BGRIM , SPRC , TOP , PTTGC ส่วนกลุ่มแบงก์ เงินทุนต่างชาติที่เข้ามาอาจจะมีการเข้ามาพักในหุ้นที่ราคายังต่ำ แนะนำBBL และเล่นเก็งกำไร KBANK  ถึงแม้ราคาเต็มแล้ว แต่ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีก

นายภาสกร ลิมมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจัยบวกเป็นเรื่องนักลงทุนคาดหวังวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ของบริษัทโมเดอร์นา ซึ่งผ่านเฟส 1 ตลาดหุ้นรับรู้ไปแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนเฟสต่อๆไปจะทราบผลในเดือน ก.ค และ ก.ย. 2563 รวมถึงค่าเงินของดอลลาร์อ่อนลง  มีการกระจายเงินออกจากตลาดสหรัฐ ซึ่งไม่ว่าสงครามจะดีหรือไม่ดี ค่าเงินของสหรัฐก็อ่อนค่าอยู่ แนะนำหุ้นรายตัวที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ต่างๆ เช่น  BAM ให้ราคาเป้าหมายที่  26.50 บาท , CPF ที่ 33.50 บาท , RBF ที่ 7.20 บาท , PTTGC ที่ 49 บาท , EGCO 358 บาท , TASCO ที่ 21.50 บาท และAMATA ที่ 18 บาท

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดรับรู้ปัจจัยลบด้านผลประกอบไตรมาส 2/63 ไปพอสมควร และตัวเลขการผลิตทั่วโลกเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในเดือน เม.ย. ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีทิศทางการปรับตัวขึ้น

ส่วนการลงทุนในเดือน มิ.ย. แนะนำให้ลงในกลุ่มแบงก์ จากความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น และการขาดสภาพคล่องของบริษัทต่างๆ  และลงทุนในกลุ่มพลังงาน จากทิศทางราคาน้ำมันฟื้นตัวดีขึ้น ความต้องการเริ่มกลับมา

นายนริศ สถาผลเดชา เจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย (TMB) เปิดเผยว่า หลังคลายล็อกดาวน์ธุรกิจสินค้าอุปโภค บริโภค ทั้งขายปลีกและขายส่ง จะฟื้นตัวได้ดีที่สุด รองลงมาธุรกิจโรงพยาบาลและคลินิก และยารักษาโรคต่างๆ จะฟื้นตัวตามๆกัน ส่วนธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าที่สุดมองว่า ธุรกิจร้านอาหาร รองลงมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์