ทริสคงเครดิต-หุ้นกู้ MAJOR ระดับ A ปรับแนวโน้ม “ลบ” คาดรายได้ปีนี้วูบ 60%

HoonSmart.com>> ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป” ที่ “A” เปลี่ยนแนวโน้ม เป็น “Negative” จาก “Stable” กังวลการฟื้นตัวผลดำเนินงานภายใต้มาตรการระยะห่างทางสังคม จำนวนที่นั่งลด 75% คาดกดรายได้ปีนี้ร่วง 60% ก่อนฟื้นตัวมากปี 64

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่” โดยแนวโน้มอันดับเครดิต “ลบ” สะท้อนถึงความกังวลต่อโอกาสในการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของบริษัทหลังจากเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ภายใต้มาตรการระยะห่างทางสังคมหลายประการและการทำกำไรของบริษัทที่ต่ำกว่าที่คาดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563

ทริสเรทติ้ง คาดว่า รายได้ของบริษัทอาจจะลดลงได้ถึง 60% ในปี 2563 ก่อนที่จะฟื้นตัวอย่างมากในปี 2564 ที่ระดับที่ต่ำกว่ารายได้ในปี 2562 ประมาณ 20% โดยมาตรการระยะห่างทางสังคมทำให้บริษัทต้องปรับลดจำนวนที่นั่งลง 75% จากปกติเมื่อกลับมาเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์หลังจากที่ปิดให้บริการมา 2 เดือน ในขณะที่ความกังวลต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในโรงภาพยนตร์อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการชมภาพยนตร์

นอกจากนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นหลังจากที่มีมาตรการปิดเมือง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ผู้สร้างภาพยนตร์ฮอลลีวูดอาจจะชะลอการเข้าฉายของภาพยนตร์ที่มีการลงทุนสูงบางเรื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโอกาสในการทำรายได้ของบริษัทแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยส่วนใหญ่จะสามารถควบคุมได้แล้ว ปัจจุบันผู้สร้างภาพยนตร์ฮอลลีวูดมีแผนจะเริ่มนำภาพยนตร์เข้าฉายในโรงในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563

อุตสหากรรมโรงภาพยนตร์ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของไวรัสตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยโรงภาพยนตร์ทุกแห่งต้องปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 ถึง 31 พฤษภาคม 2563 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยภาครัฐได้อนุญาตให้ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เริ่มเปิดให้บริการได้อีกครั้งในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 แต่ต้องดำเนินการตามมาตรการระยะห่างทางสังคมหลายประการ

ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2563 รายได้ของบริษัทลดลงถึง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่ระดับ 1.3 พันล้านบาท โดยที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ลดลงเป็น 20.8% เมื่อเทียบกับระดับ 34.0% ในช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว โดยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีมาตรการในการลดค่าใช้จ่ายหลายประการเพื่อลดผลขาดทุนในช่วงที่ต้องปิดโรงภาพยนตร์และในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังที่จะเห็นต้นทุนที่ลดลงจำนวนมากโดยเริ่มจากผลการดำเนินงานของบริษัทในใตรมาสที่ 2

อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย ตลอดจนการมีโรงภาพยนตร์ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีทั่วประเทศ และผลประกอบการที่ดีในธุรกิจสื่อและโฆษณาของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ ปริมาณของภาพยนตร์ที่เข้าฉาย รวมทั้งความเป็นที่นิยมของภาพยนตร์ และการแข่งขันจากกิจกรรมนันทนาการประเภทอื่น

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนการคาดการณ์ถึงผลกระทบทางลบอย่างมากของไวรัสโควิด-19 ต่อผลการดำเนินงานของบริษัท

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลงในอนาคตขึ้นอยู่กับความต้องการเข้าชมภาพยนตร์ว่าจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วงที่ยังมีการแพร่ระบาดได้หรือไม่ รวมถึงความมีประสิทธิภาพของมาตรการลดต้นทุนที่จะช่วยลดการขาดทุนจากการดำเนินงานในไตรมาสที่จะถึงนี้ อันดับเครดิตอาจได้รับผลกระทบในทางลบหากทริสเรทติ้งเห็นว่าการฟื้นตัวในปี 2564 ไม่เป็นไปตามคาดหรือหากการลดต้นทุนทำได้เพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับเป็น “คงที่” หากบริษัทสามารถกลับมามีผลการดำเนินงานที่ดีได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลทำให้สามาถคาดการณ์ได้ว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะลดต่ำลงกว่าระดับ 3.5 เท่าได้โดยเร็ว

สำหรับหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของ MAJOR จำนวน 2 รุ่น ได้แก่ MAJOR21OA หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 เรทติ้ง A และ
MAJOR229A หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 เรทติ้ง A