ทริสจัดเรทติ้งหุ้นกู้ EA วงเงิน 3 พันลบ. ระดับ A- คาด EBITDA โต

HoonSmart.com>> ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “พลังงานบริสุทธิ์” วงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท พร้อมหุ้นกู้สำรองไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ระดับ “A- แนวโน้ม “คงที่ ” คาด EBITDA เพิ่มจาก 1.05 หมื่นล้านบาทเป็น 1.15 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 63-65 ด้านสถานะการเงินปึ๊ก เตรียมนำเงินไถ่ถอนหุ้นกู้ครบอายุเดือนก.ค.นี้ ส่วนที่เหลือใช้สำหรับการลงทุนใหม่

บริษัท ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ที่ระดับ “A” และคงอันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ “A-” โดยอันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ลดลง 1 ขั้นจากอันดับเครดิตองค์กรสะท้อนถึงโครงสร้างที่ด้อยกว่าของหุ้นกู้จากการที่บริษัทมีฐานะเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันที่ระดับ “AA” เช่นเดิม

ทั้งนี้ หุ้นกู้ทั้งหมดของบริษัทได้รับการค้ำประกันโดย ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับสากลที่ระดับ “BBB+” จาก S&P Global Ratings

ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3 พันล้านบาท และหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) ในวงเงินไม่เกิน 2 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-” ด้วย  เพื่อนำไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้เดิมจำนวน 3 พันล้านบาทซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนก.ค.2563 และส่วนที่เหลือจะนำไปใช้สำหรับการลงทุนใหม่ ๆ

อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แข็งแรงจากพอร์ตการลงทุนในโรงไฟฟ้า และผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอของโครงการโรงไฟฟ้า รวมถึงสถานะทางการเงินที่ยังคงดีอยู่ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกจำกัดจากแผนการลงทุนขนาดใหญ่และความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผลิตแบตเตอรี่

กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทคาดว่าจะคงที่จนถึงปี 2566 ก่อนที่จะลดลงประมาณปีละ 10% อันเนื่องมาจากส่วนเพิ่มของอัตราค่าไฟฟ้าเริ่มทยอยหมดอายุ ความยั่งยืนของกระแสเงินสดของบริษัทจะขึ้นอยู่กับความสำเร็จของธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งได้แก่ ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ ธุรกิจผลิตกรีนดีเซล และสารเปลี่ยนสถานะ รวมถึงธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะเริ่มสร้างรายได้ใหม่ให้แก่บริษัทตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป โดยจะส่งผลให้สัดส่วนของสินทรัพย์และรายได้ของบริษัทค่อย ๆ เปลี่ยน รวมถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทด้วยเช่นกัน

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปสู่ 2.1 หมื่นล้านบาทในปี 2565 รายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่พลังงานไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นและคิดเป็น 40%-45% ในปี 2565 ในขณะเดียวกัน รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าน่าจะลดลงจาก 75% ในปี 2562 เป็น 50%-55% ในปี 2565 อย่างไรก็ตาม ในแง่ของกระแสเงินสด คาดว่า EBITDA ที่เสถียรภาพจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะยังคงเป็นรายได้หลัก และมีสัดส่วนมากกว่า 90% ของ EBITDA โดยรวมในช่วงระหว่างปี 2563-2565 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจาก 1.05 หมื่นล้านบาทเป็น 1.15 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาดังกล่าว

ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่ดีในอนาคต ในช่วงปี 2563-2565 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทน่าจะต่ำกว่า 4.0 เท่า และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินสุทธิน่าจะอยู่สูงกว่า 20% ในช่วงเวลาเดียวกัน

สำหรับแนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม จะสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอตามที่วางแผนไว้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะตัดสินใจลงทุนเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการแบตเตอรี่อย่างรอบคอบ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตค่อนข้างจำกัดในระยะกลาง เนื่องจากข้อจำกัดจากการลงทุนขนาดใหญ่ในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ อย่างไรก็ตาม โอกาสในการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นอาจเกิดขึ้นได้ หากบริษัทสามารถขยายฐานของกระแสเงินสดได้อย่างมาก ในขณะที่ยังสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่ดีไว้ได้ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเกิดจากการลงทุนที่ใช้เงินกู้อย่างเกินตัวหรือขาดทุนอย่างมากจากความผิดพลาดในการดำเนินโครงการใหม่ ๆ ของบริษัท