AOT นัดเคลียร์บล.กสิกรไทย โต้อุ้มคิงเพาเวอร์ ลดเสี่ยงเลิกสัญญา

HoonSmart.com>>”ท่าอากาศยานไทย”โต้นักวิเคราะห์ ยืนยันปรับสัญญาคิงเพาเวอร์จ่ายขั้นต่ำตามจำนวนผู้โดยสาร เพื่อลดความเสี่ยงยกเลิกสัญญา ยันช่วยเหลือคู่ค้าทุกราย คำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ-สังคมของประเทศ บล.กสิกรไทยเข้าพบกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ 4 ส.ค. ตกลงจะออกบทวิเคราะห์ที่เป็นกลาง ครอบคลุมถึงข้อมูลมิติต่างๆ ที่ได้รับเพิ่มเติม ไม่ให้สาธารณชนเกิดความสับสน-เข้าใจผิด

กรณี บล.กสิกรไทยออกบทวิเคราะห์ ลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นบริษัทท่าอากาศยานไทย (AOT) จาก “ซื้อ” เป็น “ขาย” และปรับลดราคาเป้าหมายลงจาก 70.50 บาทเหลือ 40.50 บาท คาดว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบ 133,800 ล้านบาท และให้ส่วนลดคะแนนบรรษัทภิบาล 20% (CG discount) หลังจากบอร์ดบริหารอนุมัติการเปลี่ยนวิธีการเก็บเงินการันตีขั้นต่ำจากคิงเพาเวอร์ โดยไม่เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น

ล่าสุดแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป ได้ปรับลดประมาณการ AOT จากตัวเลขผู้โดยสารที่ฟื้นตัวช้าและลดราคาเป้าหมายจาก 52 บาทเป็น 44 บาท

รายงานข่าวจากท่าอากาศยานไทย (AOT) ชี้แจงจากการที่มีกระแสข่าวกรณีมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการของบริษัทฯ มีการบิดเบือนไปในลักษณะที่ทำให้ประชาชนเข้าใจได้ว่ามาตรการเป็นภาระต่อภาษีประชาชน และเป็นการเอื้อประโยชน์กับผู้ประกอบการใดเป็นการเฉพาะโดยมิได้คำนึงถึงองค์รวม หรือผลประโยชน์แก่ประเทศ

บริษัทขอชี้แจงหลักการดำเนินนโยบาย คือ AOT และผู้ประกอบการทุกรายต้องผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน โดยคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะการเลิกจ้างงานควบคู่ด้วยเป็นสำคัญ เพราะวิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและแผ่เป็นวงกว้าง ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม  นอกจาก AOT ในฐานะผู้บริหารสนามบินหลักของประเทศจะได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ผู้ประกอบการ ทั้งผู้ประกอบการสายการบิน และผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ รวมพนักงานและลูกจ้างเกือบแสนชีวิต ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ สัญญาเชิงพาณิชย์ของ AOT นั้นได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการบอกเลิกสัญญาได้ตามเหตุผลที่สมควร เพียงแจ้งล่วงหน้า 45-90 วัน แม้สัญญาจะเปิดโอกาสให้บอกเลิกสัญญาได้ แต่ AOT ก็ไม่พึงประสงค์ให้มีการปิดกิจการ เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลต่อปัญหาสังคมที่เกิดจากการเลิกจ้างงานซึ่งการบรรเทาผลกระทบ อาจทำให้รายได้ของบริษัทลดลง แต่ไมใช่รายจ่ายที่บริษัทต้องจ่ายออกไปหรือการนำภาษีจากประชาชนมาจ่ายให้ผู้ประกอบการแต่อย่างใด

ส่วนการช่วยเหลือผู้ประกอบการสายการบินและผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ได้ดำเนินการเป็นการทั่วไป โดยมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการสามารถประคับประคองกิจการให้คงอยู่ต่อไปได้ตามความเหมาะสมของโครงสร้างต้นทุนของแต่ละกลุ่มผู้ประกอบการ

สำหรับการช่วยเหลือสายการบิน AOT ได้มีการเลื่อนการชำระค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการการใช้บริการในอาคาร ค่าบริการสนามบิน (Landing and Parking Charges) และค่าเครื่องอำนวยความสะดวก (Aircraft Service Charges) เพื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องของสายการบิน อีกทั้งยกเว้นการเก็บค่า Parking Charges สำหรับสายการบินที่หยุดทำการบิน และลดค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการการใช้บริการในอาคาร ค่าบริการสนามบิน 50% สำหรับสายการบินที่ยังคงทำการบิน ตั้งแต่เดือนเม.ย. – ธ.ค.63

ส่วนการช่วยเหลือผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์  AOT ได้ยกเว้นการเรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.63 – 31 มี.ค.65 (โดยยังคงเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนอัตราร้อยละ) และเลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน ค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการการใช้บริการในอาคาร เพื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง รวมถึงยกเว้นการเก็บค่าเช่าพื้นที่และค่าบริการการใช้บริการในอาคาร สำหรับผู้ประกอบการที่ขอหยุดกิจการชั่วคราว และลดค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการการใช้บริการในอาคาร 50% สำหรับผู้ประกอบการที่ยังคงประกอบกิจการ ตั้งแต่เดือน เม.ย.-ธ.ค. 63

หลังจากนั้น บริษัทจะเรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำในอัตราเท่ากับช่วงก่อนวิกฤต (ในระดับเดียวกับปี 62) และจะปรับขึ้นตามสัญญาเมื่อจำนวนผู้โดยสารเริ่มปรับตัวมากกว่าช่วงก่อนวิกฤต ซึ่งมติบอร์ด ทอท. ที่ออกไปก่อนหน้า (วันที่ 19 ก.พ. และ 22 เม.ย.63) เป็นการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งผู้ประกอบการสายการบินและผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์เป็นการทั่วไป เพื่อให้สามารถยังคงสามารถดำเนินกิจการอยู่ต่อไปได้ และไม่เกิดการเลิกจ้างงาน อันจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมการบินและประเทศชาติโดยรวม และจะกลับมากระทบต่อมูลค่าหลักทรัพย์ของ AOT มากกว่าการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในระยะสั้นเป็นอย่างมาก

กรณีสัมปทานของบริษัท คิง เพาเวอร์ได้รับมาตรการช่วยเหลือดังเช่นผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์รายย่อยทั่วไปกว่า 1,000 สัญญา แตกต่างเพียงรายละเอียดปลีกย่อยตามสถานะของสัญญา 2 ประการ ด้วยเหตุผลคือขยายระยะเวลาเตรียมการเพิ่มอีก 1 ปี ให้สอดคล้องกับการเปิดใช้งานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) แต่ไม่สามารถเปิดได้ตามเป้าหมายที่ปรากฏในสัญญา  คาดว่าจะเลื่อนจากวันที่  1 เม.ย.64 เป็นวันที่ 1 เม.ย.65 บอร์ด AOT จึงจำเป็นต้องมีมติให้มีการขยายระยะเวลาเตรียมการจากเดิม 6 เดือน ออกไปอีก 1 ปี เป็น 1 ปี 6 เดือน ทำให้มีการปรับอายุสัญญา

นอกจากนี้ ยังปรับจำนวนผู้โดยสารในการคำนวณค่าตอบแทนขั้นต่ำให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19  รัฐบาลมีมาตรการจำกัดการเปิดน่านฟ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้การเดินทางทางอากาศมีปริมาณน้อยลง  จึงเห็นชอบที่จะใช้จำนวนผู้โดยสารจริงในการคำนวณ  โดยยังคงอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำ และอัตราส่วนแบ่งรายได้เดิมตามสัญญาไว้ทุกประการ ทั้งนี้ค่าตอบแทนขั้นต่ำจะถูกปรับขึ้นทันทีในปีถัดไปตามอัตราการขยายตัวของผู้โดยสารและเงินเฟ้อ โดยไม่ต้องรอให้ผู้โดยสารกลับมาในระดับก่อนวิกฤตดังเช่นผู้ประกอบการรายอื่นแต่อย่างใด

มาตรการนี้ได้ถูกออกแบบโดยยึดถือผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ

ในส่วนของผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการงดเว้นการเรียกค่าตอบแทนขั้นต่ำในวันที่ 31 มี.ค.65 แล้ว หากบริษัทฯ จะต้องจ่ายค่าตอบแทนขั้นต่ำตามสัญญาเดิมในปี 62 จะทำให้ AOTได้รับผลประโยชน์น้อยกว่าทางเลือกที่ให้ปรับจำนวนผู้โดยสารให้เป็นไปตามจริงนี้อยู่ราว 50%  หากจำนวนผู้โดยสารฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ก็จะได้รับค่าตอบแทนกลับสู่ภาวะเดิมหรือมากกว่าโดยอัตโนมัติ

มาตรการปิดน่านฟ้าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ของรัฐบาล ทำให้จำนวนผู้โดยสารต่างประเทศลดลงกว่า  99% นั้น เป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้บริษัทคิงเพาเวอร์ สามารถใช้สิทธิขอยกเลิกสัญญาได้โดยไม่มีค่าปรับ ซึ่ง AOT คาดว่าหากมีการเปิดประมูลใหม่ในภาวะการณ์เช่นนี้ นอกจากจะต้องยอมรับว่าผู้โดยสารลดลงอย่างมีนัยยะตามตัวเลขที่ปรากฏอยู่จริง  ยังมีความสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่จะไม่มีผู้ประกอบการรายใดเสนอผลตอบแทนต่อหัวอยู่ในอัตราที่สูงดังผลการประมูลครั้งก่อน  จะทำให้เกิดความเสียหายต่อผลตอบแทนที่ AOT คาดว่าจะได้รับอย่างมหาศาล

ส่วนผลประโยชน์ของประเทศ หากไม่มีการปิดน่านฟ้าเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดฯ  จะเกิดความเสียหายกับประเทศโดยรวมอย่างตีมูลค่ามิได้  และหาก AOT ปล่อยให้มีการยกเลิกสัญญา ไม่ว่าจะเป็นสัญญาของผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ จะกระทบต่อการจ้างงานจำนวนมาก

ทั้งนี้ AOT ขอยืนยันว่า บทความ วิเคราะห์-วิจารณ์ ที่มีเผยแพร่อยู่ในปัจจุบันหลายบทความ ได้ทำการวิเคราะห์ -วิจารณ์อยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะในประเด็นการวิเคราะห์-วิจารณ์ในด้านการสูญเสียรายได้ของบริษัทให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่แต่เพียงด้านเดียว โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงมาตรการ ที่ทาง AOT ให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยด้วยอย่างเท่าเทียมกัน และยังไม่ได้คำนึงถึงโอกาส ทางเลือกที่ผู้ประกอบการสามารถบอกเลิกสัญญา หรือผลกระทบต่อรายได้ จากการถูกบอกเลิกสัญญา และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะสภาวการณ์จ้างงาน

ในการนี้ บล.กสิกรไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ออกบทวิเคราะห์ดังกล่าวได้เข้าพบ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT  เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 63 เพื่อรับทราบข้อมูลที่ครบถ้วนและเข้าใจเหตุผลในทุกๆ ด้าน โดยทางผู้ออกบทวิเคราะห์ฯ ได้ตกลงจะออกบทวิเคราะห์ที่เป็นกลางและครอบคลุมถึงข้อมูลมิติต่างๆ ที่ได้รับเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้สาธารณชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิดต่อไป

ด้านราคาหุ้น AOT ปรับตัวลง 1.75 บาทหรือ 3.41% ปิดที่ 49.50 บาท   ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2,377 ล้านบาท