TU กำไร Q2 ทะลุ 1.7 พันลบ. โต 1,440% ปันผล 0.32 บาท/หุ้น

HoonSmart.com>> “ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป” กำไรไตรมาส 2/63 แตะ 1,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,440% วิกฤต COVID-19 หนุนกวาดยอดขาย 33,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% ครึ่งปีรายได้สูงสุดรอบ 3 ปี ปันผลระหว่างกาลอัตรา 0.32 บาท XD 25 ส.ค.นี้ บอร์ดไฟเขียวซื้อหุ้นบริษัทค้าปลีกปลาและอาหารทะเลในลักเซมเบิร์ก เพิ่ม 45% หนุนถือ 90%

ธีรพงศ์ จันศิริ

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 มีกำไรสุทธิ 1,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,440% จากงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรต่อหุ้น 0.34 บาท จากงวดปีก่อนอยู่ที่ 0.02 บาท ส่วนงวด 6 เดือน ปี 2563 กำไรสุทธิ 2,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% จากงวดปีก่อนและมีกำไรต่อหุ้น 0.54 บาท เพิ่มขึ้นจากงวดปีก่อนอยู่ที่ 0.28 บาท

ในงวดไตรมาส 2/2563 บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น 2.6% อยู่ที่ 33,051 ล้านบาท โดยงวด 6 เดือนมีการเติบโตของรายได้ 4.2%สูงที่สุดในรอบ 3 ปี อยู่ที่ 64,154 ล้านบาท

บริษัทยังคงมุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรและประสบความสำเร็จในการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลกำไรจากการดำเนินงาน (operating profit) ในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 2,366 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A) อยู่ที่ 11.1% มีสัดส่วนหนี้ต่อทุนอยู่ที่ 0.96 เท่า และมีอัตรากำไรขั้นต้น (gross profit margin) อยู่ที่ 18.2% นับเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในรอบ 3 ปีอีกเช่นกัน ความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงาน การบริหารสินค้าคงคลังและการบริหารกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพยังทำให้ไตรมาสที่ 2 นี้มีกระแสเงินสดอิสระถึง 5,609 ล้านบาท

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) กล่าวว่า “อาหารนับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้ตลาดทั่วโลกมีความต้องการอาหารเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อยอดขายของบริษัท ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ดำเนินการผลิตอย่างต่อเนื่องและเต็มกำลัง เพื่อสร้างความมั่นใจและทำหน้าที่อย่างดีที่สุดในการส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัยให้กับผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เราให้ความสำคัญมาโดยตลอด คือมาตรการสุขภาพความปลอดภัยทั้งของพนักงานและในการผลิต เพื่อให้ธุรกิจของเราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”

ยอดขายในไตรมาสนี้เติบโตขึ้นจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปที่ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 16.8% อยู่ที่ 16,394 ล้านบาท และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น 29.6% อยู่ที่ 101,136 ตัน เนื่องจากผู้บริโภคทั่วโลกยังคงจับจ่ายอาหารกระป๋องในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในส่วนของธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมียอดขายลดลง 14% อยู่ที่ 11,554 ล้านบาท และปริมาณการขายลดลง 10.5%อยู่ที่ 61,284 ตัน เนื่องจากช่องทางการจำหน่ายในธุรกิจโรงแรมร้านอาหารต่างๆ ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่อง

ในส่วนของธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 7.5% อยู่ที่ 5,103 ล้านบาท ด้วยปริมาณการขายที่เพิ่มมากขึ้นและกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการทำกำไรสูง

“วันนี้ ภาคธุรกิจต้องปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ไม่ใช่แค่ระยะสั้น แต่ต้องมองไปถึงระยะยาว สำหรับไทยยูเนี่ยน บริษัทเล็งเห็นถึงความต้องการอาหารที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง จึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ และมาตรการที่เน้นย้ำความปลอดภัยในการดำเนินงาน ทำให้บริษัทมั่นใจว่าสามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพได้เป็นอย่างดี” นายธีรพงศ์ กล่าว

ไทยยูเนี่ยนมียอดขายกระจายตัวอยู่ทุกพื้นที่ทั่วโลก โดยใน 6 เดือนแรกของปี 2563 นี้ ยอดขายในอเมริกาเหนือ มีสัดส่วน 42%ของยอดขายรวมทั้งหมด ในขณะที่ตลาดยุโรป คิดเป็น 30% ตลาดประเทศไทยมีสัดส่วน 10% และยอดขายตลาดอื่นๆ คิดเป็น 18%

คณะกรรมการบริษัทฯมีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.32 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นถึง 28%จากเงินปันผลระหว่างกาลปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 0.25 บาทต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผลในวันที่ 26 ส.ค. 2563 และ XD 25 ส.ค. 2563 โดยจ่ายเงินในวันที่ 8 ก.ย. 2563

นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการได้มาซึ่งหุ้นเพิ่มเติมจำนวน 45% ของหุ้นในบริษัท TUMD Luxembourg S.a.r.l. (TUMD) ผ่านบริษัท Thai Union EU Seafood 1 S.A. (TUES1) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในลักเซมเบิร์ก ส่งผลให้ถือหุ้นใน TUMD เพิ่มเป็น 90% โดยคณะกรรมการบริหาร (Executive Committee) ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัท ได้เข้าทำสัญญาซื้อหุ้นดังกล่าว

TUMD เป็นนิติบุคคลที่เป็นเจ้าของบริษัทในประเทศรัสเซีย 3 บริษัท ได้แก่ 1) Dalpromryba LLC 2) Torgovo-Promyshlenny Komplex Dalpromryba LLC และ 3) Maguro LLC บริษัทเหล่านี้เรียกรวมกันรู้จักในชื่อ DPR Group (DPR) โดย DPR เน้นการประกอบธุรกิจค้าปลีกปลาและอาหารทะเล และเป็นผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องอันดับหนึ่งของประเทศรัสเซีย และเป็นเจ้าของตราสินค้า เช่น Maguro, Captain of Tastes และ Rybar

หลังจากการทำธุรกรรมนี้ บริษัทจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ TUMD ผ่าน TUES1 บริษัทคาดว่าจะสามารถผลักดันและส่งเสริมแผนธุรกิจของ DPR รวมถึงเพิ่มความร่วมมือกับบริษัทในฐานะผู้ผลิต นอกจากนี้พื้นฐานในการผลิตและจัดจำหน่ายของ DPR จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการเติบโตและการพัฒนาในภูมิภาคยุโรปและตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญต่อไป