TOP ทุ่ม 1.6 แสนล้าน ลงทุนพลังงานสะอาด

บอร์ดไทยออยล์ไฟเขียวลงทุนโครงการพลังงานสะอาด มูลค่าประมาณ 160,279 ล้านบาท คาดแบกดอกเบี้ยระหว่างก่อสร้างอีก 5,016 ล้านบาท เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของบริษัท เสริมสร้างความมั่นคงพลังงานประเทศ

นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2561 ที่ผ่านมา เห็นชอบให้บริษัทลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP)มูลค่าการลงทุนประมาณ 4,825 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 160,279 ล้านบาท และมีประมาณการดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้าง 151 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 5,016 ล้านบาท

วัตถุประสงค์สำคัญของการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด เพื่อเพิ่มศักภาพในการแข่งขันของบริษัทฯด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต เพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและขยายกำลังการกลั่นน้ำมัน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นทำให้สามารถกลั่นน้ำมันดิบได้มากและหลากหลายชนิดขึ้น ก่อให้เกิดการประหยัดด้านขนาด (Economies of Scale)และลดต้นทุนวัตถุดิบ

นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวอีกด้วย

ทั้งนี้บริษัทจัดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นคร้ังที่ 1/2561 ในวันที่ 27 ส.ค.2561 เพื่อพิจารณาอนุมัติการลงทุนโครงการ CFP เข้าข่ายเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทฯ มีขนาดของรายการสูงสุดเท่ากับ 68.58% ตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน เปรียบเทียบกับมูลค่าของสินทรัพย์รวมของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มี.ค. 2561 ต้องได้รับคะแนนเสียงจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของ
ผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ไม่นับส่วนได้เสีย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) ทำหน้าที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการลงทุนโครงการ CFP แก่ผู้ถือหุ้น

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการบริษัทไทยออยล์ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท โกลบอลเพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่(GPSC) ทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่าน บริษัท ไทยออยล์ เพาเวอร์ มีมติสนับสนุน GPSC ทำธุรกรรมซื้อหุ้น บริษัท
โกลว์ พลังงาน (GLOW) ทั้งทางตรงและทางอ้อม จำนวนทั้งสิ้น 1,010,976,033 หุ้น ประมาณ 69.1% จากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ คิดเป็นเงินประมาณ 97,559 ล้านบาทและมีหน้าที่ต้องจัดทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด อีกจำนวน 451,889,002 หุ้น คิดเป็น 30.9 % ในราคาหุ้นละ 96.50 บาท คาดเป็นเงิน 43,607 ล้านบาท โดยอนุมัติให้บริษัทกู้ยืมเงินจำนวนไม่เกิน 142,500 ล้านบาท หลังจากนั้นจะเสนอขายหุ้นกู้และเพิ่มทุนจดทะเบียนมาชำระคืนเงินกู้