จับตาต่างชาติขายหุ้นหนัก ‘แบงก์-ไฟฟ้า’ ยิ้ม บอนด์ยีลด์พุ่ง

HoonSmart.com>>นักลงทุนควรปรับพอร์ตลงทุนอย่างไร หลังจากประธานเฟดประกาศนโยบายใหม่ “เงินเฟ้อเฉลี่ย 2% ” ปล่อยให้เงินเฟ้อสูงได้บางเวลา ส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยจะทรงตัวในระดับต่ำไปอีกนาน สร้างความหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตมากขึ้น ท่ามกลางสภาพคล่องท่วมโลก ในระยะยาวจะส่งผลดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แต่ช่วงสั้นๆ อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงไทยด้วย เพราะนอกจากเงินไม่ไหลเข้ามาแล้ว ยังจะมีโอกาสไหลออกไป หรือสนใจลงทุนในตลาดตราสารหนี้มากกว่า จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) ระยะยาวของสหรัฐพุ่งสูงขึ้น

สัปดาห์นี้จะต้องติดตามว่า นักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นออกมามากหรือไม่ จากปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทิ้งหนักๆ วันละกว่า 3,000 ล้านบาทในวันที่ 27 ส.ค. และต่อเนื่องในวันที่ 28 ส.ค. จำนวน 3,816 ล้านบาท

แต่ที่แน่ๆ เมื่อมีแรงซื้อหุ้นสหรัฐ ขายพันธบัตรรัฐบาล อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทย อายุ 5 ปี ปิดที่ 0.94% เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 0.04% ปรับตัวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในตราสารระยะยาว เพิ่มขึ้นประมาณ 0.02-0.09% เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2563 ที่ผ่านมา

บล.ทรีนีตี้ มองนโยบายของเฟดครั้งนี้ไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในมิติของการจัดพอร์ตลงทุนใน Asset allocation เพราะอาจทำให้เม็ดเงินบางส่วนไหลกลับไปยังสหรัฐมากขึ้น บอนด์ยีลด์สหรัฐที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีเสนห์น้อยลง เมื่อเทียบกับตราสารหนี้ หากพิจารณาจาก Earning yield gap (EYG) ของตลาดหลักทรัพย์ กับบอนด์ยีลด์ สหรัฐ หรือของไทย ต่างลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่  คาดว่าจะยังไม่เห็นเงินไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย และมีทิศทางการไหลออกต่อไป แต่หากจะเข้ามา ตราสารหนี้ก็ยังมีความน่าสนใจมากกว่า

ส่วนการลงทุนในทองคำ บล.ทรีนีตี้ยังแนะนำให้ถือครองต่อไปได้ในสัดส่วนไม่เกิน 10% ของพอร์ต หลังจากราคาปรับตัวลงค่อนข้างแรงหลังการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานเฟด ก่อนจะกลับมารีบาวด์ อยู่ที่ระดับ 1,930 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ และหากเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรแท้จริง พบว่าปรับขึ้นมาเพียงเล็กน้อย และยังคงอยู่ในระดับติดลบที่ 0.98% มองว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินและปล่อยให้เงินเฟ้อของสหรัฐสูงกว่า 2% ได้ ในบางช่วงเวลา จะเป็นปัจจัยหนุนทองคำ

“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ”ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า นโยบายใหม่ของเฟดสามารถใช้ได้นาน โดยไม่ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เป็นปัจจัยบวกระยะยาวในสินทรัพย์เสี่ยง จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับเพิ่มขึ้น ช่วงสั้นให้เป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน และดีต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยอัตราคิดลดสูงขึ้น แนะเก็งกำไรในหุ้น BBL , KBANK ,PTT และ IVL

ส่วนหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนปันผลสูงกว่าพันธบัตร ในช่วงนี้ราคาหุ้นจะมีโอกาสอ่อนตัว รอจังหวะลงทุนในหุ้น ADVANC ,INTUCH และ BTSGIF

เช่นเดียวกับ “ณัฐพล คำถาเครือ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า สภาพคล่องสูงเป็นผลดีต่อหุ้นทุกกลุ่ม แต่เริ่มเห็นสัญญาณการขายพันธบัตรออกมา ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเริ่มปรับตัวดีขึ้น หนุนกลุ่มธนาคาร ให้หุ้นเด่น BBL และ SCB

บล.เอเซียพลัส “ชาญชัย พันทาธนากิจ” ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า เฟดใช้นโยบายเงินเฟ้อยืดหยุ่นมากขึ้น อาจจะมีเม็ดเงินลงทุนย้ายออกมาเข้าตลาดหุ้นมากขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในระยะกลางถึงยาว โดยส่วนใหญ่ถ้าไม่มีปัจจัยหนุนอื่นๆ เงินจะไหลเข้าในกลุ่ม SET50

ส่วนระยะสั้นแนะเล่นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตราการภาครัฐ กลุ่มท่องเที่ยวให้ AAV ที่ราคาเหมาะสม 2.70 บาท กลุ่มยานยนต์ให้ SAT 13.40 บาท และกลุ่มการบริโภค ให้ CRC ที่ราคาเหมาะสมไม่ต่ำกว่า 35 บาท

“วิจิตร อารยะพิศิษฐ” นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำได้นาน ต้นทุนบริษัทจดทะเบียนอยู่ในระดับที่ดี ส่งผลภาคแรงงานฟื้นตัว เป็นมุมมองเชิงบวกต่อตลาดในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งระยะกลางมีแนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น แต่ตอนนี้ยังมีปัจจัยการเมืองกดดันตลาดหุ้น

“ ควรเล่นหุ้นในโซนล่าง ต้นทุนไม่เสียเปรียบ แนะนำไม่ไล่ตามราคา ใช้จังหวะหุ้นย่อสะสม ให้หุ้นโรงแรมที่มีธุรกิจร้านอาหารด้วย ในหุ้น MINT , CENTEL และกลุ่มไฟแนนซ์มีการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น และใช้มาตราการซอฟท์โลนจากภาครัฐให้ MTC , SAWAD” วิจิตร กล่าว

ด้าน“วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา”ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า เงินเฟ้อมีโอกาสที่สูงกว่า 2% ได้ เป็นผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยง อาทิหุ้น และทองคำ ส่วนเงินดอลลาร์อ่อน และบาทแข็งค่า ให้หุ้นเด่น TVO ที่ราคาเป้าหมาย 31 บาท หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีเงินกู้ในสกุลดอลลาร์  GPSC ที่ราคาเป้าหมาย 112 บาท , GULF ที่ 47 บาท และ BGRIM ที่ 75 บาท