PTT แกร่ง แจกปันผล18 สต./หุ้น OR จ่อขาย IPO ทุบสถิติใหญ่ที่สุด

HoonSmart.com>>บริษัทปตท. (PTT) เพิ่งได้รับข่าวดี เรื่องสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติให้บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ได้ หลังจากรอคอยมานานกว่า 3 ปี

นับตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย. 2563 บอร์ดปตท. อนุมัติให้บริษัทฯลงนามกับบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีกในสัญญาโอนสินทรัพย์และหนี้สินที่เกี่ยวข้อง รวมมูลค่าทั้งสิ้น 117,203 ล้านบาท เพื่อแยกธุรกิจค้าปลีกออกมา ทั้งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม นำโดยสถานีบริการน้ำมัน “ptt station” ร้านกาแฟแบรนด์ “คาเฟ่อเมซอน” ร้านอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ และร้านสะดวกซื้อ แบรนด์ “จิฟฟี่” แบรนด์ “7-Eleven” พร้อมขยายการลงทุนออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก เป็นผู้นำค้าปลีกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมชั้นนำของประเทศไทย มีส่วนแบ่งทางการตลาดน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลประมาณ 41.5% รวมถึงธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (นอนออยล์) ทั้งในและต่างประเทศ เตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 3,000 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้(พาร์) หุ้นละ 10 บาท แบ่งเป็นการขายหุ้นทั่วไป 2,700 ล้านหุ้น และส่วนเกิน (กรีนชู) อีกไม่เกิน 300 ล้านหุ้น เพื่อจัดสรรให้กับนักลงทุนทั่วไป 2,400 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือให้สิทธิผู้ถือหุ้นของปตท. โดยปตท.ยังคงถือหุ้นใหญ่ 75% ของทุนชำระแล้วหลังขาย IPO  สร้างความแข็งแกร่งให้ปตท.  ซึ่งล่าสุดบอร์ดเพิ่งอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.18 บาท รวมเป็นเงิน 5,142 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของกำไรสุทธิ ให้ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลวันที่ 1 ต.ค. กำหนดจ่ายเงินวันที่ 16 ต.ค. 2563 ช่วยกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง

วัตถุประสงค์ของการระดมทุนเพื่อขยายการลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2563-2567) รวมเป็นเงินมากกว่า 77,413 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างการเติบโตขึ้นอีกมาก จากที่ผ่านมามีกำไรสุทธิกว่า 1 หมื่นล้านบาท ไม่รวมปีนี้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19

OR เป็นบริษัทขนาดใหญ่ และคาดว่าจะเป็นหุ้นที่มีการระดมทุน IPO สูงที่สุดของตลาดหุ้นไทย(นิวไฮ) หลังจากปี 2562 บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) สร้างสถิติมูลค่าระดมทุนถึง 41,742 ล้านบาท มาร์เก็ตแคป 185,742 ล้านบาท ก่อนถูกแซงหน้าโดยบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) มูลค่า 55,902 ล้านบาท มาร์เก็ตแคป 253,302 ล้านบาทในปี 2563 ซึ่งขนาดที่ใหญ่ของกิจการทำให้ทั้งสองบริษัทได้รับเลือกเข้าสู่การคำนวณดัชนี 50 (SET50)โดยอัตโนมัติ

“หุ้น OR ใหญ่ขนาดไหน สามารถดูได้จากการใช้บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินถึง 5 บริษัท ได้แก่  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง บล.ฟินันซ่า บล.กสิกรไทย บล. ภัทร และบล. ทิสโก้”

ส่วนบริษัทพร้อมจะเสนอขายหุ้น IPO เมื่อไรนั้น “จิราพร ขาวสวัสดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR กล่าวว่า ระยะเวลาการเสนอขายหุ้นยังต้องรอดูภาวะตลาดควบคู่ด้วย จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 อาจจะกระทบต่อการเดินทางไปนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับการดำเนินธุรกิจขณะนี้ยอดขายน้ำมันภาคพื้นดิน และธุรกิจนอนออยล์ เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ยกเว้นยอดขายน้ำมันอากาศยานที่ยังหดตัว เพราะไม่มีการเดินทางระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันบริษัทพยายามเดินหน้าขยายสถานีบริการน้ำมันแห่งใหม่ควบคู่ธุรกิจนอนออยล์ เพื่อให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น รวมถึงจะมีการจ้างงานเพิ่มเพื่อขยายงานการค้าผ่านระบบออนไลน์ ดิจิทัล และการตลาด เพื่อขยายยอดขายของบริษัทด้วย

เชื่อได้ว่า การขายหุ้น OR จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน นักลงทุนรวมถึงประชาชนทั่วไปมีความต้องการสูงมาก น่าจะมียอดจองซื้อสูงกว่าปริมาณที่เสนอขาย เพราะบริษัทมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ธุรกิจมีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งสถานีบริการน้ำมัน ร้านกาแฟและร้านอาหาร รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ และยังมองหาโอกาสจากธุรกิจใหม่ (New S-Curve) เช่น ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

นอกจากหุ้น OR ที่เตรียมเปิดขายในครึ่งหลังของปีนี้แล้ว ยังมีหุ้นขนาดใหญ่เตรียมความพร้อมอีกหลายตัว อาทิ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) บริษัทโฮลดิ้งที่ประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในกลุ่มบริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCC) กำหนดจะเซ็นสัญญาแต่งตั้งอันเดอร์ไรท์ ในวันที่ 23 ก.ย. นี้ เพื่อเสนอขายหุ้นไม่เกิน 1,127.5 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท คาดว่าไตรมาสที่ 4 จะมีให้เลือกหลายตัว เช่น บริษัท เวล เกรด เอ็นจิเนียริ่ง (WGE) เสนอขาย 160 ล้านหุ้น เพื่อเข้า SET และบริษัท เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น (KK) จะเสนอขาย 69  ล้านหุ้น เข้าตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ช่วงนี้เป็นโอกาสทองของหุ้น IPO

ส่วนบริษัทที่ได้รับอนุมัติการขายแล้ว แต่ชะลอการระดมทุน เช่น บริษัทสยามราชธานี (SO) ก็ประกาศว่าพร้อมจะขายภายในปี 2563

ช่วงนี้เป็นโอกาสทองของหุ้น IPO ช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยครองแชมป์ในการระดมทุนมากที่สุดในอาเซียน ซึ่งคาดว่าจะมีความต่อเนื่องในปีหน้าและปีต่อๆไป