JMART ส้มหล่นเกิด”ตลาดดิจิทัล” ICO เพิ่มมูลค่า กำไร All Time High

HoonSmart.com>>ตลาดตั้งศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย เปิดทาง JMART  เจ้าแรกออกขาย ICO มีสภาพคล่องซื้อขาย สะท้อนราคาแท้จริง เพิ่มมูลค่าสินค้า “อดิศักดิ์”ยันปีนี้ ผลงานมีกำไร  All Time High  พร้อมหาโอกาสลงทุนใหม่  “กลุ่มสุขุมวิทยา”ตอกย้ำความเชื่อมั่น ประเดิมแปลงสภาพ JMART-W3 ในราคาหุ้นละ  11 บาท  เป็นเงินกว่า 160 ล้านบาท ลงทุนต่อ JMT ให้แข็งแรง

บล.บัวหลวง วิเคราะห์เรื่องตลาดหลักทรัพย์ร่วมมือกับ กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) จัดตั้งบริษัทศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย ส่งผลดีต่อบริษัทที่ออกเหรียญโทเคนดิจิทัลก่อนหน้า อย่าง บริษัท เจ มาร์ท (JMART) จะมีกระดานรองที่มีสภาพคล่องมารองรับ และส่งผลบวกต่อการ Mark to market ในงบการเงิน เมื่อมีสภาพคล่องที่ดีรองรับการซื้อขาย

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท (JMART) เปิดเผยว่า บริษัทได้รับประโยชน์จากการมีตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะออกมาในรูปแบบใด ซึ่งทางบริษัทมีความพร้อมเกี่ยวกับด้านนี้อยู่แล้ว จากการเป็นรายแรกที่เสนอขายเหรียญโทเคนดิจิทัลให้กับประชาชนครั้งแรก (ICO) การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามา จะช่วยให้เติบโตในอนาคต 1-2 ปีข้างหน้า หากเป็นที่ยอมรับกับนักลงทุน บริษัทก็พร้อมที่จะเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

ส่วนผลประกอบการปี 2563 บริษัทมั่นใจว่าจะโดดเด่น กำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) และในไตรมาส 3 และ 4 ทุกธุรกิจมีแนวโน้มที่เติบโตต่อเนื่อง  รายได้หลักมาจากธุรกิจบริหารหนี้ของบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ที่สามารถสร้างผลประกอบการสูงสุด มองการบริหารจัดการจะดีกว่าครึ่งปีแรก มีการซื้อหนี้เข้ามาบริหาร 1,900 ล้านบาท จากงบลงทุน 4,500 ล้านบาท แนวโน้มภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพ (NPLs) จะเพิ่มสูงขึ้น จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และสถานการณ์โควิด-19 เป็นโอกาสให้ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพ พร้อมต่อยอดการลงทุนในธุรกิจที่เป็นโอกาส

ขณะที่บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) พอร์ตสินเชื่อมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ยังคงเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อปี 63 ที่ 5,800-6,000 ล้านบาท การเติบโตมาจากสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อรถทำเงิน ส่วนบริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท (J) ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะมีการเติบโตต่อเนื่อง หลังจากธุรกิจพื้นเช่าเริ่มกลับมาดีขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า กลุ่มสุขุมวิทยา ในฐานะกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ขอย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน  ด้วยการประเดิมใช้สิทธิแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของบริษัทฯ ครั้งที่ 3 (JMART-W3)  ในราคาหุ้นละ 11 บาท  ทำให้ JMART ได้รับเงินรวมกว่า 160 ล้านบาท เพื่อเสริมสร้างฐานเงินทุน เพื่อการแปลงสภาพวอร์แรนต์ของ JMT ต่อไป

นอกจากนี้ JMART ในฐานะบริษัทแม่ของ JMT  ทุ่มเงินกว่า 800 ล้านบาท เพื่อแปลงสภาพ JMT-W2 จำนวน 42.1 ล้านหน่วย ในราคาหุ้นละ 18.62187 บาท เพื่อเสริมเงินทุนให้กับ JMT สำหรับการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพตามแผน  ที่ผ่านมา JMT ได้รับเงินจากการแปลงสภาพกว่า 1,575 ล้านบาทจากผู้ถือหุ้น และรักษาระดับอัตราหนี้สินต่อทุนไว้ในระดับที่มั่นคง ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นที่แปลงสภาพ JMT-W2 ในรอบนี้ มีโอกาสได้รับ JMT-W3 ภายหลังจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติในวันที่ 2 พ.ย. 2563

“ตั้งแต่เจมาร์ทก่อตั้งมา เราเติบโตทั้งแนวตรงและแนวข้าง ทั้งของธุรกิจค้าปลีกสินค้าเทคโนโลยีและมือถือ จากนั้น ได้รุกเข้าไปในธุรกิจด้านการเงินนำบริษัทลูกเข้าตลาดฯ และเติบโตจากเครื่องมือในตลาดทุน โดย DNA ของเราเป็นบริษัทที่ลงทุนในธุรกิจที่มีโอกาสการเติบโตสูง เงินที่ลงทุนต้องมีรีเทิร์น กลับมามากกว่าต้นทุนของบริษัท เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของบริษัทรวมถึงผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น การแปลงสภาพวอแรนต์ JMT-W2 ของ JMT ในครั้งนี้ เพราะบริษัทฯ มั่นใจ JMT จะเติบโต นี่คือเหตุผลที่เราเดินหน้าต่อ ไม่มีถอย” นายอดิศักดิ์ กล่าว

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ธุรกิจในกลุ่ม JMART มีการเติบโตที่ดี จากกำไรของ JMT  คาดว่าทำ All Time High ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อีกครั้ง  ส่วนธุรกิจของ  JMART คาดว่าจะมีความชัดเจนการร่วมมือกันกับธนาคารกุกมิน ของประเทศเกาหลี เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อต่าง และบัตรเครดิตต่างๆ คาดว่าจะเข้ามาช่วยการเติบโต และลดต้นทุนการเงินให้ถูกลงได้ ขณะที่บริษัท SINGER คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ภาพรวมดีขึ้น และบริษัท J ครึ่งหลังของปีนี้น่าจะดี จากการกลับมาเดินศูนย์การค้ามากขึ้น

“เรามองว่าราคาหุ้น JMART และJMT ถึงแม้จะอยู่ในระดับที่ P/E แพงแล้ว แต่ถ้ามองถึงการแนวโน้มกำไร  All Time High ได้อีกในครึ่งปีหลัง  ก็เป็นหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุน ส่วน SINGER แนะนำให้ราคาเหมาะสม 17.70 บาท” นายวิจิตร กล่าว