CLSA มั่นใจหุ้นไทยวิ่งขึ้น 1,900 จุดทันทีที่กำหนดวันเลือกตั้ง

CLSA ฟันธงกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อไร ต่างชาติกลับมาลงทุน ได้ลุ้น 1,900 จุดทันที แนะทยอยเก็บหุ้น เชื่อไตรมาส 4 ดัชนีจะขึ้นแรง

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) มีโอกาสจะวิ่งขึ้นไปถึง 1,850 – 1,950 จุด หากรัฐบาลกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน เพราะการเลือกตั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน

“นักลงทุนต่างชาติไม่ได้ให้น้ำหนักกับการเมืองในประเทศมา 3 ปีแล้ว แต่ปีนี้ปีที่ 4 การเมืองจะเป็นปัจจัยสำคัญมาก ซึ่งหากรัฐบาลกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อไร เชื่อว่า นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาและทำให้ตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นไปได้ถึง 1,900 จุด บวก/ลบ ประมาณ 50 จุด แม้ว่าจะล่าช้าจากเดือน ก.พ. 2562 ไปอีก 3-6 ก็เชื่อว่านักลงทุนจะยอมรับได้ แต่หากปีหน้ายังไม่มีการเลือกตั้ง หรือ ไม่มีการกำหนดวันที่ชัดเจนนักลงทุนต่างชาติจะไม่กลับมา” นายปริญญ์

นายปริญญ์ กล่าวอีกว่า ในไตรมาส 4 หุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้ถึง 300 จุด โดยเฉพาะใน 2 เดือนสุดท้าย เพราะคาดว่า สงครามการค้าจะลดความตึงเครียดหลังจากการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่เชื่อว่า รัฐบาลไทยจะสามารถปลดล็อคความล่าช้าของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างได้ ทำให้มีการประมูลโครงการก่อสร้างเกิดขึ้นได้ เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าสายสีส้มและสีม่วง

“เพราะฉะนั้นในเดือน ก.ค. จึงเป็นช่วงที่ควรจะซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีไว้ได้แล้ว ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนสถาบันเริ่มซื้อเก็บมาตั้งแต่เดือน มิ.ย. เพราะสงครามการค้าเป็นแค่เกมการเมือง ซึ่งเชื่อว่าในที่สุดจะมีการเจรจากันได้ ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) แสดงว่า เศรษฐกิจดีขึ้นจริงหุ้นก็จะขึ้นตามไปด้วย” นายปริญญ์ กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่แนะนำ คือ ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ โรงพยาบาล และนิคมอุตสาหกรรม

กลุ่มก่อสร้างที่ราคายังไม่ปรับขึ้นมามากนัก เช่น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) หรือ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ)

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ได้แก่ บริษัท ศุภาลัย (SPALI), บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) และ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI)

กลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS)

กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งได้ประโยชน์จากโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เช่น บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) และบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA)

“กลุ่มธนาคารยังต้องระวัง เพราะแม้ว่าจะรับรู้ข่าวร้ายไปแล้ว (มาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9) ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาไม่ดี และไตรมาส 3 ก็น่าจะยังไม่จบง่ายๆ เพราะสินเชื่อขนาดใหญ่ก็ยังไม่มี เพราะฉะนั้นกลุ่มธนาคารต้องรอไตรมาส 4” นายปริญญ์ กล่าว