ไทยแลนด์แดน Safe Haven : SCBAM มั่นใจครึ่งปีหลังหุ้นไทยชนะเพื่อนบ้าน

“ณรงค์ศักดิ์” CEO บลจ.ไทยพาณิชย์ มั่นใจว่า ตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่าภูมิภาค เป็น Safe Haven เพราะทุนสำรองปึ้ก เกินดุลบัญชีเดินสะพัด แนะลงทุนกลุ่มธนาคาร-อุปโภคบริโภค-พลังงาน-หุ้น IPO

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ หรือ SCBAM กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมองว่ายังมีโอกาสปรับตัวผันผวนในขาขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าภูมิภาค เนื่องจากฐานะประเทศแข็งแกร่ง ทั้งทุนสำรองและดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้เป็น Safe Haven สำหรับเงินลงทุนต่างชาติ และยังคงเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไว้ที่ 1,800 จุด

ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย
ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังเติบโตต่อเนื่องหรือฟื้นตัวจากฐานต่ำในอดีตที่จะช่วยเสริมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะได้ประโยชน์จากปัจจัยเหล่านี้ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในอนาคต ภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออกทั้งอาหาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนประกอบรถยนต์ การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยที่ฟื้นตัวดีจากปีก่อน รวมไปถึงการฟื้นตัวของราคาสินค้าเกษตรบางรายการที่ทำให้การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าส่งผลดีต่อแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มธนาคารในท้ายที่สุด

“สำหรับหุ้น IPO เป็นอีกกลุ่มที่น่าลงทุน โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กที่มีอัตราการเติบโตสูง ซึ่งคาดว่า จะเพิ่มผลตอบแทนได้ แต่ต้องเลือกหุ้นที่ดีและผู้บริหารที่ดี” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

สำหรับภาพรวมการลงทุนต่างประเทศช่วงที่เหลือของปีนี้ นายณรงค์ศักดิ์ให้ความเห็นว่า ตลาดหุ้นพัฒนาแล้วได้รับอานิสงส์จากการบริโภคภายในประเทศและการจ้างงานที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากนโยบายการคลัง โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่รัฐบาลปรับลดภาษีทั้งภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล การที่เศรษฐกิจขยายตัวดีก็จะส่งผลบวกต่อเนื่องถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ขยายตัวดีกว่าคาดในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา

สำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่ยังมีความผันผวนสูงและขาดปัจจัยสนับสนุน ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นเกิดใหม่ในปีนี้มาจากความกังวลจากการทำสงครามการค้าของสหรัฐฯ กับจีน และนโยบายการเงินตึงตัวมากขึ้นของสหรัฐฯ การแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ และการปรับขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก ส่งผลให้นักวิเคราะห์ปรับลดเป้าหมายการขยายตัวของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากสินทรัพย์ในภูมิภาคอย่างมาก

อย่างไรก็ตามปัจจัยกังวลทั้งในเรื่องนโยบายการเงินและสงครามการค้าได้ถูกสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นค่อนข้างมากแล้ว จะเห็นได้จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นเกิดใหม่กว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าของตลาดหุ้นเอเชียได้ปรับตัวลงมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว

ขณะที่ตราสารหนี้ควรเน้นลงทุนระยะสั้น เนื่องจากผลตอบแทนตราสารหนี้โลกยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักๆ ของโลก มีแนวโน้มดำเนินนโยบายตึงตัวต่อเนื่อง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ตามตลาดแรงงานที่ฟื้นตัว และราคาพลังงานที่ทรงตัวในระดับสูง ทั้งนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลโลกยังไม่น่าจูงใจเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ไทยเนื่องจากมีต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างสูง

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามในครึ่งปีหลัง ได้แก่ การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอลง จากมาตรการภาษีการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะกับจีน และอาจขยายวงกว้างไปสู่ประเทศคู่ค้าอื่น ๆ เช่น ยุโรป และแนวโน้มการจ้างงานที่ตึงตัวขึ้น รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้อัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มชะลอลง ขณะที่สภาพคล่องในตลาดเงินโลกมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง จากการลดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) การชะลอวงเงิน QE ของธนาคารกลางยุโรป จะส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนเพิ่มขึ้นและผลตอบแทนจากการลงทุนลดลงเปรียบเทียบกับช่วงที่สภาพคล่องทางการเงินทรงตัวในระดับสูง

ชมคลิปสัมภาษณ์ ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย
https://bit.ly/2wfSas9