ธนชาต ออก T-SmartBeta ลงทุนหุ้นไทย ขาลงผันผวนต่ำ ขาขึ้นกำไรเพิ่ม

บลจ.ธนชาต คลอดกองทุน T-SmartBeta ลงทุนหุ้น Mid Beta ผสมหุ้น Low Beta หวังเพิ่มโอกาสกำไรในตลาดหุ้นขาขึ้น พร้อมปรับพอร์ตลดความผันผวนช่วงหุ้นขาลง “บุญชัย” คาดให้ผลตอบแทนดีกว่ากองทุนกลุ่ม Low Beta ได้ 2-3%

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต กล่าวว่า ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า หุ้นไทยยังน่าลงทุนมากกว่าหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ ทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) สงครามการค้า และวิกฤตการเงินในบางประเทศ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย

“เศรษฐกิจดี แต่มีความไม่แน่นอนจากต่างประเทศ บลจ.ธนชาต จึงพัฒนากองทุน T-SmartBeta ซึ่งเป็นกองทุนรูปแบบใหม่ ที่มีความยืดหยุ่นสามารถบริหารให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า SET Index ในช่วงตลาดขาขึ้น และมีความผันผวนต่ำ หรือ ปรับลดลงน้อยกว่า SET Index ในช่วงตลาดขาลง โดยผสมลงทุนหุ้นที่มีความผันผวนปานกลาง (Mid Beta) เข้ากับกลุ่มที่มีความผันผวนต่ำ (Low Beta) ไว้ด้วยกัน” นายบุญชัย กล่าว

ทั้งนี้ นายบุญชัย กล่าวว่า หุ้น Mid Beta คือ หุ้นที่มีค่า Beta ระหว่าง 1-1.4 ขณะที่หุ้น Low Beta จะมีค่า Beta น้อยกว่า 1 โดย กองทุน T-SmartBeta มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่มีค่า Beta ไม่เกิน 1.4

“จากการศึกษาข้อมูลย้อนหลัง เราพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า หุ้น Mid Beta ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ โดยตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน หุ้น Mid Beta มีผลตอบแทนที่ดีกว่า SET Index รวมทั้งยังดีกว่าหุ้น Low Beta และ High Beta อีกด้วย ในขณะที่ความผันผวนอยู่ระหว่าง Low Beta และ High Beta เพราะฉะนั้นพอร์ตที่มีส่วนผสมของ Mid Beta จึงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า Low Beta ซึ่งเราคาดหวังว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3% โดยไม่ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมากนัก” นายบุญชัย กล่าว

ในปัจจุบัน สัดส่วนการลงทุนของกองทุน T-SmartBeta ที่เหมาะสมสำหรับแนวโน้มการลงทุนในปีหน้าจะอยู่ใน Mid Beta 40% และ Low Beta 60% โดยผู้จัดการกองทุนจะทบทวบสัดส่วนการลงทุนทุกสัปดาห์ โดยหากประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นจะมีสัดส่วน Mid Beta มาก แต่หากมีแนวโน้มขาลงจะให้น้ำหนักกับ Low Beta มากกว่า โดยใช้เครื่องมือทางเทคนิคมาประกอบการตัดสินใจ

“กองทุน T-SmartBeta จะช่วยนักลงทุนรับแรงกระแทกน้อยลงในตลาดขาลง แต่ก็ได้โอกาสกำไรในตลาดขาขึ้นด้วย เพราะถ้าดูจากผลดำเนินงานที่ผ่านมาของกองทุนในกลุ่ม T-LowBeta ที่มีความผันผวนต่ำจะเห็นว่าน่าพอใจในตลาดขาลง เพราะลดลงน้อยกว่าตลาด แต่ในช่วงตลาดขาขึ้นจะแพ้ตลาด อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Mid Beta จะให้ผลตอบแทนที่ดีแต่เราก็ยังไม่ออกกองทุนที่ลงทุนเฉพาะ Mid Beta เพราะฐานลูกค้ามาจากลูกค้าเงินฝากธนาคารรับความเสี่ยงได้ไม่มาก” นายบุญชัย กล่าว

นายอำพล โฆษิตาภรณ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายตราสารทุน บลจ.ธนชาต กล่าวว่า การคัดเลือกหุ้นนอกจากจะพิจารณาจากค่า Beta แล้ว จะต้องเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ตั้งแต่ 10% ขึ้นไป อัตราเงินปันผลตอบแทน ตั้งแต่ 2% และมีมูลค่าการซื้อขายต่อวันมากกว่า 50 ล้านบาท ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ กองทุน T-SmartBeta จะเปิดขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 5-11 ก.ย. 2561 โดยลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 50,000 บาท และครั้งถัดไปขั้นต่ำ 1,000 บาท และไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนเป็นเวลา 1 ปี โดยจะเริ่มเปิดซื้อขายได้ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. 2562