FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน อยู่ในโซนร้อนแรงครั้งแรกในรอบ 7 เดือน

FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน เดือนตุลาคม 2561 เพิ่มขึ้นมาอยู่ในโซนร้อนแรงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน
การเมืองไทยและการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยบวก

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนตุลาคม 2561 ว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง (Bullish) เป็นเดือนแรกในรอบ 7 เดือน โดยผลสำรวจนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในสถานการณ์การเมือง การเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง และภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง สนับสนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน ขณะที่นักลงทุนเฝ้าติดตามผลกระทบสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ การไหลเข้าออกของเงินทุน เป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน”

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนตุลาคม 2561 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

·ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ธันวาคม 2561) เพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (Neutral) (ช่วงค่าดัชนี 120 – 160) โดยเพิ่มขึ้น 12.01% อยู่ที่ระดับ 120.60

·ดัชนีกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อน มาอยู่ที่ Zone ร้อนแรง

·ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศลดลงเล็กน้อยยังคงอยู่ที่ Zone ร้อนแรง (Bullish)

·ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ แทบไม่เปลี่ยนแปลง โดยยังคงอยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)

·หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร (BANK)

·หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดแฟชั่น (FASHION)

·ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์การเมือง

·ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนกันยายน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงต้นเดือนมีทิศทางปรับตัวลดลงจากความกังวลนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ โดยดัชนีฯลดลงต่ำสุดที่ 1,672 จุด และปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนภายหลังร่างพรบ.เกี่ยวกับการได้มาของสส.และสว. ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และการผ่อนคลายเกณฑ์ในการทำกิจกรรมพรรคการเมือง ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของวันเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้า โดยดัชนีฯช่วงปลายเดือนเพิ่มขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,750 จุด จากแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศ

ผลสำรวจชี้ว่าทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนมาจากสถานการณ์ทางการเมือง และความเชื่อมั่นการเติบโตเศรษฐกิจของไทย ตัวเลขการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นในภาคการท่องเที่ยวแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนลดลงก็ตาม และแนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการที่ OPEC ไม่ส่งสัญญาณเพิ่มกำลังการผลิตและมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านที่จะถูกบังคับใช้ในวันที่ 4 พ.ย.นี้ขณะที่นโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐที่ล่าสุดประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ รวมถึงการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ 0.25% เป็นรอบที่ 3 ในปีนี้และแนวโน้มปรับขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในหลายประเทศและผลกระทบต่อเงินทุนไหลเข้าออกระหว่างประเทศ รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะ Emerging Market เป็นปัจจัยความเสี่ยงที่นักลงทุนติดตาม

นอกจากนี้ ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ ทิศทางนโยบายทางการเงินของธนาคารยุโรปภายหลังลดปริมาณ QE 1.5 หมื่นล้านยูโรในเดือน ต.ค.-ธ.ค. จากปัจจุบันที่เข้าซื้อ 3 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน และคาดว่ามาตรการ QE จะยุติในสิ้นปีนี้ แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในช่วงสิ้นปี รวมถึงภาวะเศรษฐกิจจีนและยุโรปจากผลกระทบของสงครามทางการค้า