SAWAD-MTC ร่วง หวั่นเงินติดล้อแข็งแรง แย่งธุรกิจ

แบงก์กรุงศรีฯขายหุ้นเงินติดล้อ 50% ให้ 2 กองทุนของตระกูลเจียรวนนท์ สร้างแรงกระเพื่อมธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ กดดัน 2 หุ้นของเจ้าตลาดรูดลง 3 %

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) แจ้งขายหุ้น 50% ในบริษัท เงินติดล้อ ให้กับกองทุน 2 แห่ง ซึ่งตระกูลเจียรวนนท์บริหารอยู่ เปิดศึกการแข่งขันธุรกิจการปล่อยสินเชื่อทะเบียนรถ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) และบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในปัจจุบัน ทำให้ราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทปรับตัวลงแรง ในการซื้อขายเช้าวันที่ 2 ต.ค.2561

ณ เวลา 11.00 น. SAWAD ซื้อขายที่ 45.50 บาท รูดลง 1 บาทหรือ 2.15 % และ MTC ซื้อขาย 49.25 บาท ติดลบ 1.75 บาทหรือ 3.43%

ทางด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) วิเคราะห์ว่า BAY ขายหุ้น 50% ของบริษัท เงินติดล้อ ให้กับกองทุน Capital Partners Asia Fund IV (CVC) และ Equity Partners Limited (EPL) ซึ่งตระกูลเจียรวนนท์บริหารอยู่ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทางธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ เป็นบวกกับ BAY ที่ได้พันธมิตรแข็งแกร่ง โดย CP Group มีเครือข่ายร้านค้ากว่า 1 หมื่นแห่งทั่วประเทศไทยผ่านบริษัท CPALL (ร้านสะดวกซื้อ 7-11) ที่สามารถเป็น Banking Agent และให้บริการไมโครไฟแนนซ์ให้กับเงินติดล้อได้ รวมทั้งอาจมีการบันทึกกำไรจากการขายเข้ามาด้วย ขณะเดียวกัน CPALL ก็ได้ประโยชน์ที่จะมีรายได้จากธุรกิจเกี่ยวกับการเงินเพิ่มขึ้น

ณ สิ้นปี 2560 เงินติดล้อมีสาขาทั้งสิ้น 750 แห่ง และมียอดสินเชื่อคงค้าง 2.46 หมื่นล้านบาท

บล.ดีบีเอสฯระบุว่า ในเชิงกลยุทธ์แนะนำซื้อสะสม CPALL แม้ประมาณการว่ากำไรไตรมาสที่ 3/2561 จะเติบโตจำกัด เนื่องจากถูกกระทบจากภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ทำให้มาร์จิ้นลดลง และรายได้เคาเตอร์เซอร์วิสอ่อนลงจากการที่ธนาคารพาณิชย์ยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่านระบบดิจิตอล แต่ราคาหุ้นที่ลดลงมากว่า 20% ใน 5 เดือนที่ผ่านมาก็สะท้อนปัจจัยดังกล่าวนี้ไปพอควรแล้ว คาดว่าการเติบโตในไตรมาส 4 และปี 2562 จะฟื้นตัวดีขึ้น การได้ธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาจะช่วยหนุนรายได้และกำไรให้เติบโตได้ในระยะยาว สภาพคล่องและฐานะการเงินแข็งแกร่งมาก