วันที่ 12 ต.ค. 2561 วันแรกของการเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยหรือ Thailand Future Fund (TFFIF) ที่เสนอขายแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)
ถ้าตั้งใจแน่วแน่และพอใจกับผลตอบแทนประมาณ 4% ต่อปี เดินไปจองซื้อได้เลย
เพราะแม้ว่า 4% จะไม่ใช่อัตราที่สูงมากนัก แต่ถ้าชอบ “ความสม่ำเสมอ” ของผลตอบแทน และโอกาสเพิ่มขึ้นในนอนาคต ทั้งจากจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น อัตราค่าผ่านทางเพิ่มขึ้น และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐในโครงการอื่นๆ
แต้ถ้ายังลังเลก็ไม่ต้องรีบตัดสินใจ เพราะยังมีเวลาถึงวันที่ 19 ต.ค. 2561
เพราะการจองซื้อ TFFIF ไม่ได้ใช้วิธี “มาก่อนได้ก่อน” แต่จะเป็นการจัดสรรแบบ Small Lot First ทำให้ทุกคนมีสิทธิได้รับการจัดสรร (ถ้าเอกสารครบ จ่ายเงินในเวลาที่กำหนด) แต่จะได้ครบตามจำนวนที่ต้องการหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับยอดจองทั้งหมด ซึ่งจะรู้ผลวันที่ 22 ต.ค. 2561
ระหว่างนี้มาลองเปรียบเทียบกับ “ทางเลือกอื่นๆ” (รายละเอียดในกราฟฟิกประกอบ) แต่ต้องบอกก่อนว่าทางเลือกที่เห็นเป็นแค่ตัวอย่างของ “ทางเลือกอื่น” ที่มีขายอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเป็นตราสารหนี้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งรัฐบาลและเอกชน ทั้งลงทุนผ่านกองทุนรวมและลงทุนตรง
สาเหตุที่ต้องนำ TFFIF มาเปรียบเทียบกับตราสารหนี้ เพราะมีรูปแบบการให้ผลตอบแทนที่คล้ายกัน มีความสม่ำเสมอในการจ่ายผลตอบแทนพอๆ กัน แต่ถ้าเป็นตราสารหนี้ที่อายุสั้นกว่าจะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตราสารหนี้ที่มีอายุยาวกว่า
และถ้าเทียบกับทางเลือกอื่นๆ (ที่มีระดับความเสี่ยงไม่สูงนัก) ซึ่งเสนอขายในช่วงนี้แล้ว “Thailand Future Fund” ก็ “ชนะเลิศ”
อย่างไรก็ตาม หากจะนำ “Thailand Future Fund” ไปเปรียบเทียบกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือ “อินฟราฟันด์” กองทุนอื่นๆ ที่มีขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะเห็นว่า ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้ในปีแรกที่ 4.75 – 5.30% เป็นผลตอบแทนระดับกลางๆ ออกจะ “ค่อนไปทางท้ายตาราง”
นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ “Thailand Future Fund” เป็นม้านอกสายตาของ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
“เรามองว่า TFFIF เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ เนื่องจากสินทรัพย์มีการเติบโตไม่สูง และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าแค่ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวและเงินฝาก แต่หากเปรียบเทียบกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานกองทุนอื่นถือว่าผลตอบแทนต่ำกว่า”
นอกจากนี้ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ยังแนะนำว่า ถ้าเป็น “อินฟราฟันด์” พวกเขาชอบกองทุนที่สามารถเติบโตและกระจายความเสี่ยงได้ดี ค่าเช่าเติบโต การเข้าใช้พื้นที่และการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ เช่น CPNREIT, BTSGIF และ DIF
ขณะที่ ธนัฐ ศิริวรางกูร หรือ “หมอนัท คลินิคกองทุน” แนะนำว่า สามารถลงทุน TFFIF เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตอินฟราฟันด์และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อกระจายความเสี่ยงในการถือสินทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้น แต่ไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดลงไป
“กองทุน TFFIF มีรายได้สม่ำเสมอ รูปแบบรายได้คล้ายกับโรงไฟฟ้า เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะให้ผลตอบแทนต่ำ แต่อาจจะดีกว่าตราสารหนี้ เพราะในอนาคตการลงทุนตราสารหนี้จะเสียภาษี แต่ปันผลจากอินฟราฟันด์ได้รับยกเว้นภาษี (สำหรับ TFFIF จะยกเว้นภาษีไปอีก 8 ปี)” ธนัฐ กล่าว
เช่นเดียวกับ ศกุนพัฒน์ จิรวุฒิตานันท์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร เทรเชอริสต์ ที่ให้ความเห็นว่า TFFIF มีสินทรัพย์ที่มั่นคง แต่ให้ผลตอบแทนไม่สูง และรายได้กองทุนที่มาจากค่าทางด่วนทั้งสองสายก็เพิ่มขึ้นช้าๆ อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ “ลงทุนไว้บ้าง”
“แต่ไม่ควรทุ่มลงไปตัวเดียวเป็นสัดส่วนเยอะ ยังมีอินฟราฟันด์และกองทุนอสังหาริมทรัพย์อีกหลายกองให้กระจายเงินไปลงทุน ซึ่งการกระจายเงินลงทุนออกไป จะช่วยลดความเสี่ยงเชิงกายภาพจากสินทรัพย์ที่ลงทุน (ไฟไหม้ น้ำท่วม ตึกถล่ม ฯลฯ) และช่วยเพิ่มความเสถียรให้กับระดับรายได้รวมของพอร์ต” ศกุนพัฒน์ ระบุ
หลังจากเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่นๆ และอินฟราฟันด์ด้วยกันแล้ว ตัดสินใจจะลงทุนกับ TFFIF ก็เดินไปจองซื้อได้ที่
1. ธนาคารกรุงไทย
2. ธนาคารกรุงเทพ (ยกเว้นสาขาไมโคร)
3. บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า
4. บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร (เฉพาะลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร เท่านั้น)
5. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย
6. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี
อ่านประกอบ