KAsset ชู 2 กอง KDLTF – KEQRMF เน้นหุ้นใหญ่กระจายเสี่ยง

บลจ.กสิกรไทย มองแนวโน้มหุ้นผันผวนระยะสั้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯขึ้นต่อเนื่อง ดึงเงินไหลออกจากประเทศเกิดใหม่ ยันคงเป้า SET Index ปลายปี 1,800 จุด พร้อมชวนลงทุน LTF/RMF แนะนำ KDLTF แชมป์กองทุนปันผลสูงสุดและ KEQRMF กองทุนหุ้นใหญ่ยอดนิยมของกสิกรไทย

น.ส.ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด หรือ KAsset เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ยังมีมุมมองที่ดีต่อเศรษฐกิจไทยซึ่งมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาสสุดท้าย คาดว่าจะมีความคืบหน้าในการลงทุนในโครงการภาครัฐเพิ่มขึ้น ประกอบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นหลังจากมีการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน รวมถึงสภาพคล่องในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูงและอัตราดอกเบี้ยในประเทศยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ถึงสิ้นปีนี้

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย คาดว่าดัชนีจะยังคงปรับตัวผันผวน จากปัจจัยกดดันเรื่องความขัดแย้งการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และปัญหาเงินไหลออกจากกลุ่มประเทศเกิดใหม่ อย่างไรก็ตามมองว่า downside น่าจะจำกัด จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวดีขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดและทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับที่สูง รวมถึงการกำหนดกรอบวันเลือกตั้งในปีหน้าที่ชัดเจน ยังส่งผลดีต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นอีกด้วย ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังคงเป้าหมาย SET Index ปลายปี 2561 ที่ 1,800 จุด โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ปี 2561 และ 2562 ที่ 8% และ 10% ตามลำดับ

“สำหรับปัจจัยที่ผู้ลงทุนต้องติดตาม คือการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนออกจากภูมิภาคจากประเด็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การทยอยลดสภาพคล่องในระบบจากฝั่งยุโรป รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ขณะที่นโยบายทางการค้าของทรัมป์คาดว่าจะส่งผลต่อ sentiment ตลาดระยะสั้น โดยตลาดประเมินว่าในกรณีที่มีการเก็บภาษีเต็มจำนวน จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงจำกัดที่ประมาณ 0.2-0.4% ในปี 2562 ซึ่งในสถานการณ์ตลาดที่ค่อนข้างผันผวน การลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายเน้นหุ้นขนาดใหญ่ กระจายหลากหลายอุตสาหกรรม จึงเป็นทางเลือกที่ดีในแง่ของการช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ต โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่เหมาะกับการเข้าทยอยสะสมกองทุน LTF/RMF เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี พร้อมทั้งการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย” น.ส.ธิดาศิริกล่าว

อย่างไรก็ตามบลจ.กสิกรไทยมีกองทุน LTF/RMF ให้เลือกหลากหลายนโยบายครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ลงทุน โดยกองทุนแนะนำที่คัดเลือกมาให้แล้วว่าสอดคล้องเหมาะสมกับภาวะตลาดในปีนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) ที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอทุกปีตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (19 ต.ค. 2547) จนถึงปัจจุบัน รวมเป็นระยะเวลา 14 ปี โดยจ่ายไปแล้วทั้งหมด 22 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9.83 บาทต่อหน่วย หรือสามารถคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ย (Dividend Yield) ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 4.45% ต่อปี ถือเป็นกองทุนที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูงสุด เมื่อเทียบกับ LTF อื่นๆ ของกสิกรไทย (ข้อมูลจากบลจ.กสิกรไทย ณ วันที่ 30 ก.ย.61)

ขณะที่ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 61) ให้ผลตอบแทน 9.90% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI) ซึ่งอยู่ที่ 9.61% และผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 7.25% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 7.06% ต่อปี กองทุน KDLTF มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี กระจายการลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อสอดรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด โดยมีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด

ด้านกองทุน RMF ที่ บลจ.กสิกรไทย แนะนำคือ กองทุนเปิดเค หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (KEQRMF) ที่ถือเป็นเป็นกองทุนยอดนิยมที่มียอดซื้อสูงสุดในกลุ่ม RMF Equity Large Cap ของบลจ.กสิกรไทยในปีนี้ มีนโยบายคัดเลือกลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงสูง เป็นผู้นำในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมและผลการดำเนินงานโดดเด่น สามารถสร้างกำไรอย่างสม่ำเสมอ มีการกระจายการลงทุนหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อสอดรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด และยังกระจายการลงทุนบางส่วนในต่างประเทศ โดยกองทุน สามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 61) ที่ 13% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 9.60% ต่อปี ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 11.51% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 9.61% ต่อปี

ผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน LTF/RMF กสิกรไทย สามารถลงทุนได้ด้วยมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 500 บาท และต้องลงทุนตามเงื่อนไขภาษี