TIGER “หุ้นไฮโกรท-ไฮมาร์จิ้น” การเงินหนุนรับเหมาฯ โตมั่นคง

TIGER หรือ บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง พร้อมลงสนามเทรด mai วันที่ 24 ต.ค.2561 พร้อมทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าสู่เป้าหมาย “หุ้นไฮโกรท-ไฮมาร์จิ้น”

บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง เป็นหุ้นน้องใหม่ ที่มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน TIGER มี 3 ทหารไทยเสือ คือ 2 ผู้ก่อตั้งบริษัท “จตุรงค์ ศรีกุลเรืองโรจน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ) “กิตติ ดุษฏีพฤติพันธุ์” ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (ซีโอโอ) และได้มือดีทางการเงินและบัญชี “วิบูลย์ พจนาลัย “ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน (ซีเอฟโอ) เข้ามาร่วมงานในปี 2559 ปัจจุบันเป็นกรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบ ของบริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น(D) บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ช่วยทำให้ธุรกิจรับเหมางานวิศวกรรมโยธาทุกประเภท รวมถึงงานออกแบบและงานสถาปัตยกรรมที่บริษัทมีความโดดเด่นอยู่แล้วแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

“วิบูลย์” มีหน้าที่ในการหาเงิน บริหารเงิน ที่ผ่านมาหมุนเงินมือเป็นระวิง นโยบายของซีอีโอให้หมุนเงินได้ 4 รอบ จากฐานทุน 1 ส่วน บางปีต้องหมุนถึง 6 รอบ เพราะต้องการใช้เงินทุนสำหรับการสร้างโรงงานอลูมิเนียมแห่งใหม่ ซึ่งบริษัทที่อยู่นอกตลาดจะมีปัญหาคล้ายๆกัน คือเรื่องสภาพคล่องและต้นทุนการเงินที่สูง เมื่อบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) แล้ว จะช่วยเสริมเขี้ยวเล็บให้กับ TIGER อย่างไรบ้าง

“วิบูลย์ พจนาลัย” ซีเอฟโอ บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง ให้สัมภาษณ์ www.hoonsmart.com ว่า การเข้าตลาด mai ถือเป็นก้าวที่สำคัญของTIGER เพราะช่วยแก้จุดอ่อนในรื่องการหมุนเงินไม่ทัน จนต้องปฎิเสธงานไปหลายครั้ง ที่ผ่านมาเราพลาดโอกาสในการรับงานขนาดใหญ่ แต่รายได้ก็ยังเติบโตเฉลี่ยถึง 30% ต่อปี และมีอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)สูงกว่า 16-18% ซึ่งเมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว บริษัทได้รับการยอมรับมากขึ้น และได้เงินไอพีโอเข้ามา สนับสนุนให้ฐานทุนของบริษัทใหญ่ขึ้น นำไปขอสินเชื่อจากธนาคารมาหมุนได้หลายรอบ มีศักยภาพในการรับงานที่มีมูลค่าสูงขึ้น ทั้งภาครัฐและเอกชน ช่วยผลักดันธุรกิจให้เติบโตในช่วง 3-5 ปีได้อย่างแข็งแกร่ง

“เราแตกต่างจากหุ้นใหม่หลายแห่ง เรื่องวัตถุประสงค์ของการใช้เงิน ทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการขายไอพีโอ จำนวน 122.28 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 3.65 บาท เป็นเงินเกือบ 450 ล้านบาท จะนำไปต่อยอดขยายธุรกิจทั้งหมด ไม่ได้ใช้คืนหนี้เก่าแต่อย่างใด ปัจจุบันบริษัทยังมีสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนเพียง 0.02 เท่าเท่านั้น และระหว่างที่ยังไม่ได้ใช้เงินไอพีโอ จะนำไปลงทุนในที่ปลอดภัยด้วย ”

นอกจากนี้ TIGER ก็ไม่เหมือนกับบริษัทรับเหมาทั่วไป เราไม่มี Backlog สูง ๆ เพราะบริษัทรับงานเอกชนเป็นส่วนใหญ่ ใช้กลยุทธ์เร่งจบงานได้เร็ว โดยเฉลี่ย 10-11 เดือนก็เสร็จ ได้เงินเร็ว มาร์จิ้นดี แถมยังสามารถเบิกเงินค่าก่อสร้างได้ทุกเดือน ทำให้ไม่มีงานรอรับรายได้หรือ Backlog มากนัก

” เราไม่มีปัญหาในเรื่องการหาลูกค้า เพราะเมื่อทำงานจบตามแผน หรือเร็วกว่าที่คาด ทำให้ลูกค้าสามารถเปิดตัวได้ตามกำหนด และยังพอใจกับผลงานของบริษัท ทำให้ลูกค้าเลือกที่จะใช้เราอย่างต่อเนื่อง เมื่อต้องการสร้างเฟส 2 หรือเปิดโครงการใหม่ ที่สำคัญมีการแนะนำลูกค้ามาให้แบบปากต่อปากมาตลอด โดยไม่มีหนี้เสีย ”

งานยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ทั้งการก่อสร้างโรงแรม เซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ รีสอร์ทแอนด์สปา ในต่างจังหวัด ที่ผ่านมาเราทำโครงการรีสอร์ทแอนด์สปา คชา บนเกาะช้าง จังหวัดตราด ทำให้บริษัทมีชื่อเสียง และได้รับการยอมรับในเรื่องงานระบบ ไฟฟ้า น้ำประปา แอร์ ซึ่งเป็นหัวใจในการให้บริการตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

ส่วนงานภาครัฐ จะมีงานประมูลใหม่ๆออกมาอีกมาก รวมถึงงานใน อีอีซี แม้ว่าแต่ละงานจะต้องใช้เวลานาน 1 ปีครึ่งถึง 2 ปี และใช้เงินลงทุนสูง ก็ตาม เราพร้อมจะลงแข่งขัน ทั้งการเข้าประมูลเองหรือร่วมกับพันธมิตร ปัจจุบันรับงานหลายแห่ง อาทิ การประปาส่วนภูมิภาค พระปรง จ.สระแก้ว โครงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม จ.สระแก้ว ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ขณะเดียวกัน TIGER ได้ผ่านการลงทุนขนาดใหญ่มาแล้ว เมื่อปี 2559 หมุนเงินหลายรอบและใช้เงินกู้ระยะสั้น ในการลงทุนสร้างโรงงานออกแบบผลิตและติดตั้งอุปกรณ์จากกระจกและอลูมิเนียมที่ใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจใหม่ของบริษัทมีคู่แข่งไม่มากนัก มีอัตราเร่งการเติบโต และอัตรามาร์จิ้นสูงกว่างานรับเหมา ปัจจุบันและอนาคตอยู่ในช่วงของการเก็บเกี่ยว เมื่อมีเงินไอพีโอมาหมุนเพิ่มจะทำให้ธุรกิจนี้เติบโตได้เร็วและกำไรดีขึ้นด้วย ช่วยปรับโครงสร้างรายได้ให้มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมาจากงานรับเหมา 95% และ อลูมิเนียม 4% อื่นๆอีกเล็กน้อย ธุรกิจจัดหาอุปกรณ์ก่อสร้างและเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและแอร์ที่นำเข้ามาใช้แล้วติดต่อขายให้ลูกค้าด้วย

ที่สำคัญ บริษัทมีการลงทุนสร้างทีมงาน รวมถึงวิศวกร เตรียมไว้พร้อม รองรับกับงานที่จะรับเข้ามามากภายหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ บริษัทมีค่าใช้จ่ายประจำจากเงินเดือน และค่าเสื่อม ดังนั้นงานที่เพิ่มขึ้นมาถือเป็นกำไร มีโอกาสเพิ่มอัตรากำไรสุทธิ ส่งผลให้ผลประกอบการดียิ่งขึ้น ที่ผ่านมาในปี 2558-2560 มีกำไรจำนวน 9 ล้านบาท 36 ล้านบาท 67 ล้านบาท และรายได้รวม 365 ล้านบาท 489 ล้านบาท 614 ล้านบาท ตามลำดับ 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 353.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 91.10 ล้านบาท หรือ 34% ขณะที่กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 58.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.58 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ดังนั้นบริษัทจะเติบโตได้ จะต้อง”มีงาน มีเงิน และมีคน” เมื่อ TIGER เข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว มีครบทุกอย่าง ก็พร้อมทะยานไปข้างหน้า เพื่อให้เหมาะกับการเป็น”หุ้นไฮโกรท-ไฮมาร์จิ้น” และมีเงินปันผลอย่างน้อย 30% ของกำไรติดไม้ติดมือผู้ถือหุ้นด้วย