ทริสมองเครดิต GL เป็นลบ ‘ธุรกิจ-การเงิน-คดี’ เสี่ยง

ทริสเรทติ้งปรับแนวโน้มเครดิต “กรุ๊ปลีส” เป็นลบ สะท้อนสถานะทางการเงินถดถอย ธุรกิจกระจุกตัวในประเทศที่มีความเสี่ยงกว่าไทย ความไม่แน่นอนจากผลของคดีความทางกฎหมาย ฐานะทางเครดิตอ่อนแอลง หลังหยุดจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้แปลงสภาพให้คู่กรณี ข้อดีมีทุนแข็งแรง

บริษัท ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนของ บริษัท กรุ๊ปลีส (GL) ที่ระดับ “BB+” และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น”ลบ” แทนที่เครดิตพินิจ “ลบ” สะท้อนถึงฐานะทางการเงินและธุรกิจของบริษัทที่อ่อนแอลง และความไม่แน่นอนจากผลของคดีความทางกฎหมาย

อันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนสะท้อนระดับความน่าเชื่อถือของทั้งผู้ค้ำประกันและผู้ออกตราสาร ทั้งนี้ หุ้นกู้ของบริษัทได้รับการค้ำประกันในสัดส่วน 65% ของเงินต้นและดอกเบี้ยค้างชำระโดยธนาคารกสิกรไทย ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “คงที่” จาก S&P Global Ratings โดยธนาคารกสิกรไทยจะให้การค้ำประกันหุ้นกู้ดังกล่าวโดยไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้

สำหรับ GL ผู้ออกตราสาร ฐานะทางเครดิตอยู่ในระดับอ่อนแอตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา เนื่องจากการถดถอยลงของสถานะทางการเงินและการกระจุกตัวของสินทรัพย์ดำเนินงานในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงกว่าประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีเงินทุนในระดับที่เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงในระดับหนึ่ง จึงช่วยลดทอนความกังวลใจต่ออันดับเครดิตลงได้

GL มีฐานะทางเครดิตอ่อนแอ หลังจากพักการชำระดอกเบี้ยของหุ้นกู้แปลงสภาพ

ณ เดือนมิ.ย.2561 บริษัทมีเงินทุนรวมทั้งสิ้น 13,996 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น (42.1%) หุ้นกู้แปลงสภาพ (46.9%) หุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วน (10.6%) และแหล่งเงินทุนอื่น (0.4%)

J Trust Asia Pte. Ltd. (JTA) ในฐานะเป็นคู่กรณีทางกฎหมายของบริษัท เป็นผู้ถือหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่า 5,922 ล้านบาท คิดเป็น 90.1% ของมูลค่าหุ้นกู้แปลงสภาพที่คงค้างทั้งหมด โดยเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2561 JTA ยื่นฟ้องบริษัทและบริษัทลูก ต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นกู้แปลงสภาพดังกล่าวเป็นโมฆียกรรม JTA ขอให้บริษัทจ่ายคืนเงินประมาณ 6,000 ล้านบาทสำหรับหุ้นกู้แปลงสภาพ และค่าเสียหายอีก 2,000 ล้านบาท ในวันที่ 19 มี.ค. 2561 ศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว และปัจจุบันคดีอยู่ในขั้นตอนของการอุทธรณ์โดย JTA

บริษัทได้หยุดพักการชำระดอกเบี้ยของหุ้นกู้แปลงสภาพตามความเห็นของที่ปรึกษากฏหมายภายนอก มีผลให้ฐานะทางเครดิตของบริษัทอยู่ในระดับอ่อนแอ ทั้งนี้ มูลค่าการผิดนัดชำระดอกเบี้ยดังกล่าวมีจำนวนประมาณ 329.32 ล้านบาท โดยบริษัทได้บันทึกดอกเบี้ยค้างจ่ายไว้ในงบการเงินประจำไตรมาส 1/ 2561 แล้ว รวมทั้งบริษัทยังคงชำระดอกเบี้ยและหนี้อื่นตามกำหนด

ความไม่แน่นอนของผลตามกฏหมายอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่อง ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2561 บริษัทมีเงินสดและเทียบเท่าเงินสดจำนวน 3,266 ล้านบาท (22.2% ของสินทรัพย์รวม) เงินสดและเงินที่ได้รับชำระจากลูกค้าแต่ละเดือนเพียงพอที่จะจ่ายชำระคืนหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนจำนวน 1,500 ล้านบาทที่จะครบกำหนดในเดือนกันยายน 2562 บริษัทเชื่อว่า ระยะเวลาของขั้นตอนตามกฏหมายจะใช้เวลานานกว่าวันหมดอายุของหุ้นกู้ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของผลทางคดีความอาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อบริษัท ตัวอย่างเช่น หาก JTA ชนะคดี และบริษัทต้องจ่ายเงินตามจำนวนที่ถูกเรียกร้องทั้งหมด บริษัทอาจต้องเผชิญปัญหาสภาพคล่องในระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสินทรัพย์บางส่วนของบริษัทถูกนำไปเป็นหลักประกันหนุนหลังหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันบางส่วน อาจจำกัดความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ได้

ผลประกอบการของบริษัทลดลงอย่างมาก ในปี 2560 บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิ 1,607 ล้านบาท ขาดทุนเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การตั้งสำรองสำหรับสินเชื่อ SME ที่ให้กับผู้กู้ 2 กลุ่มคือบริษัทที่จดทะเบียนในไซปรัสและสิงคโปร์ และการตั้งสำรองในไตรมาสที่ 3 สำหรับผลขาดทุนในบริษัทร่วม

ในครึ่งปีแรก 2561 ผลการดำเนินงานปกติยังคงลดลง โดยอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์(ROA)เฉลี่ยที่ปรับเป็นตัวเลขเต็มปีลดลงเหลือ 3.2% จาก 6.1% ในช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากการตั้งสำรอง อัตราการตั้งสำรองต่อสินเชื่อถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 5.3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 จาก 4.5% ในปี 2560 สำหรับอัตราการขาดทุนจากการขายมอเตอร์ไซด์ที่ยึดมาได้ต่อสินเชื่อถัวเฉลี่ย ลดลงเล็กน้อยเป็น 3.39% ในปี 2560 จาก 3.47% ในปี 2559

บริษัทเริ่มกระจายธุรกิจไปต่างประเทศตั้งแต่ปี 2556 โดยสินทรัพย์และเงินลงทุนในต่างประเทศคิดเป็นประมาณ 49% ของสินทรัพย์รวม ณ สิ้นปี 2560 เงินลงทุนในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ กัมพูชา (22% ของสินทรัพย์รวม) ศรีลังกา (14%) ลาว (5.4%) เมียนมา (4.2%) และอินโดนีเซีย (3.2%) อย่างไรก็ตาม ประเทศดังกล่าวมีระดับความเสี่ยงของประเทศ หรือ Country Risk สูงกว่าประเทศไทย และการดำเนินงานในประเทศเหล่านี้ยังไม่ยาวนานที่จะพิสูจน์ผลสำเร็จ บริษัทอาจเผชิญต่อสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ไม่แน่นอน และนำมาซึ่งความผันผวนทางธุรกิจและความเสี่ยงในอนาคตได้

คุณภาพพอร์ตสินเชื่อของบริษัทเริ่มถดถอยลง โดยสัดส่วนสินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน) ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นเป็น 5.0% ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2561 จาก 4.3% ณ สิ้นปี 2560 เป็นผลจากการถดถอยลงของคุณภาพลูกหนี้ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทริสเรทติ้งคาดว่า บริษัทจะเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อและระบบการจัดเก็บหนี้ให้มากขึ้น เพื่อทำให้คุณภาพของลูกหนี้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศศรีลังกาในเดือนธ.ค. 2559 ผ่านทาง บริษัท Group Lease Holdings Pte. (GLH) ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมด และมีการจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ในฐานะบริษัทโฮลดิ้งด้วยเงินลงทุน 2,489 ล้านบาทในบริษัท Commercial Credit and Finance PLC (CCF) คิดเป็นสัดส่วนถือหุ้น 29.99% ใน CCF การลงทุนในศรีลังกาอาจจะนำมาซึ่งโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ แต่บริษัทก็มีความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของเงินลงทุน หากพิจารณาตามวิธีส่วนได้เสียของเงินลงทุน มูลค่าเงินลงทุนใน CCF ตามรายงานในงบดุล มีจำนวน 2,085 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2561 คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนที่ลดลง 16.2% จากเงินลงทุนเริ่มแรก

ฐานทุนของบริษัทใช้ในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ และรองรับการขาดทุนจากระดับความเสี่ยงตามธรรมชาติของลูกค้าเป้าหมาย โดยสัดส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงมาอยู่ในระดับ 39.8% ณ สิ้นปี 2560 จาก 48.5% เมื่อสิ้นปี 2559 เนื่องจากการตั้งสำรองส่วนเกินมีผลให้บริษัทขาดทุนในปี 2560 ณ สิ้นเดิอนมิ.ย. 2561 สัดส่วนดังกล่าวยังทรงตัวในระดับ 40% ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอในการรองรับความเสี่ยงระดับสูงตามธรรมชาติของธุรกิจให้สินเชื่อรถมอเตอร์ไซด์ และเพื่อรองรับการขยายตัวตามปกติของพอร์ตสินเชื่อ

ตามเงื่อนไขทางการเงินสำหรับหุ้นกู้ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทต้องอยู่ในระดับต่ำกว่า 5 เท่า ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2561 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวในระดับ 1.5 เท่า ซึ่งยังอยู่ในระดับที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ทริสเรทติ้งเชื่อว่าในระยะอีก 12 เดือนข้างหน้า บริษัทจะยังสามารถรักษาระดับอัตราส่วนดังกล่าวในเกณฑ์ได้