ASP รับรายได้ปีนี้ทรงตัวหลุดเป้าโต 15% โบรกฯ แข่งดุลดค่าคอม

“เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” รับรายได้ปีนี้ต่ำกว่าเป้าเติบโต 15% เหตุธุรกิจโบรกฯ แข่งขันสูงหั่นค่าคอมดึงลูกค้า ฉุดรายได้-กำไรใกล้เคียงปีก่อน เตรียมบันทึกกำไรขายเงินลงทุนบริษัทสตาร์ทอัพที่ต่างประเทศประมาณ 100 ล้านบาทเข้างบ

นายพิทเยนท์ อัศวนิก กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่ารายได้ในปี 2561 นี้จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาซึ่งมีรายได้จำนวน 2,560 ล้านบาท ซึ่งเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 15% เป็นผลจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แข่งขันสูงมีการปรับลดค่าธรรมเนียม ในขณะที่บริษัทไม่ได้ลงไปแข่งด้านราคา โดยปัจจุบันค่าธรรมเนียมบริษัทอยู่ที่ 0.147% สูงกว่าอุตสาหกรรมอยู่ที่ 0.0958% นอกจากนี้ได้รับผลกระทบจากการที่อุตสาหกรรมมีการใช้ Robot Trading เพื่อช่วยในการซื้อขายหลักทรัพย์มากขึ้น ทำให้มาร์เก็ตแชร์ของบริษัทปรับตัวลง

อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 4/2561 บริษัทจะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่ต่างประเทศประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งน่าจะทำให้กำไรสุทธิในปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อน

นายพิทเยนท์ กล่าวว่า สำหรับธุรกิจด้านวาณิชธนกิจ บริษัทได้ยื่นแบบไฟลิ่งขายหุ้นไอพีโอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วจำนวน 2-3 บริษัทและเตรียมยื่นไฟลิ่งอีกจำนวน 2-3 บริษัท

ส่วนธุรกิจการลงทุน บริษัทก็อยู่ระหว่างมองหาโอกาสเข้าลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ระดับ 30% ซึ่งปัจจุบันก็มีการเจรจาเพื่อเข้าซื้อธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศอิสราเอล จากปัจจุบันบริษัทมีการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพแล้วจำนวน 10 บริษัท

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4/2561 ยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯและจีน โดยตลาดยังติดตามการหารือของผู้นำทั้งสองประเทศในนอกรอบการประชุม G20 วันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าสหรัฐฯ ยังคงใช้มาตรการทางการค้ากับจีนและประเทศอื่นๆ จึงกดดันการลงทุน โดยยังได้รับปัจจัยบวกเล็กน้อยจากปัจจัยในประเทศ เช่น ความชัดเจนของการเลือกตั้ง ซึ่งคาดดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้ 1,620-1,630 จุด และมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท/วัน ส่วนปีหน้าคาดดัชนีจะอยู่ที่ 1,790 จุด และมีมูลค่าการซื้อขายใกล้เคียงกับปีนี้