‘บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส’ เตรียมขายไอพีโอ 194 ล้านหุ้น

“บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส” ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แก้วรายใหญ่ที่สุดในไทย ยื่นไฟลิงเข้าตลาดหลักทรัพย์ เสนอขาย 194 ล้านหุ้น นำเงินเพิ่มกำลังการผลิต โกยรายได้ไตรมาส3

บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส (BGC) ยื่นไฟลิ่งแรก เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 194,444,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์)หุ้นละ 5 บาท วัตถุประสงค์ขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

วัตถุประสงค์ของการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อขยายโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วแห่งใหม่ในจังหวัดราชบุรี พัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพภายในกลุ่มบริษัทฯ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

“ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 2,500 ล้านบาทก่อสร้างเตาหลอมแก้วที่ 1 คาดจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 3/2561 ทำให้บริษัทมีโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วจำนวน 5 โรงงาน และมีเตาหลอมแก้วทั้งสิ้น 11 เตา และมีกำลังการผลิตรวมเท่ากับ 3,495 ตันต่อวัน”

สำหรับ BGC ประกอบธุรกิจจัดจำหน่าย ส่งออก และนำเข้าบรรจุภัณฑ์แก้ว รวมถึงการลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้ว ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯ มีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วมากที่สุดในประเทศไทย (อ้างอิงจากรายงานของ GlobalData Plc ลงวันที่ 2 ก.พ. 2561) โดยมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 3,095 ตันต่อวัน (ไม่รวมกำลังการผลิตของ RGI จำนวน 240 ตันต่อวัน ที่มีการปิดเตาหลอมแก้วเมื่อเดือนธ.ค. 2560)

นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังมีการนำเข้าบรรจุภัณฑ์แก้วเพื่อขายในประเทศบางประเภทมาขายให้แก่ลูกค้า กรณีที่บริษัทฯ ไม่สามารถผลิตได้หรือ มีกำลังการผลิตไม่เพียงพอ เพื่อตอบสนองความต้องการบรรจุภัณฑ์ และความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โดยบริษัทฯ มีฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ทางด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2560 มีรายได้จากการขาย จำนวน 11,164.2 ล้านบาท รายได้รวม 11,221.8 ล้านบาท ต้นทุนขาย 9,681.6 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 1,087.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 251.9 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 12,970.7 ล้านบาท หนี้สินรวม 9,936.4 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 3,034.3 ล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 3,472,220,000 บาท ชำระแล้ว 2,500 ล้านบาท หลังไอพีโอเพิ่มเป็น 3,472,220,000 บาท โดยมีบริษัท บางกอกล๊าส ถือหุ้นทั้งหมด หลังเสนอขายหุ้นครั้งนี้จะลดลงเหลือ 72%