แฉ! บิ๊กอสังหาฯ 17 บริษัททิ้งหุ้น รายย่อยกอดเต็มมือเกิน 50%

17 อสังหาริมทรัพย์ไม่มีเจ้าภาพ หุ้นส่วนใหญ่เกินกว่า 50% ตกอยู่ในมือของรายย่อย LPN ปาเข้าไปตั้ง 91% กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ทั้ง LH-QH-AP ถือมากกว่า 60% ศุภาลัย-มั่นคง เจ้าของเดิมถือส่วนน้อย แอลพีเอ็นฯ ยอมรับราคาหุ้นร่วงต่ำกว่าพื้นฐาน เปิดโครงการซื้อหุ้นคืน “อนันต์” เปิดแผนกู้เงินแบงก์มาเก็บหุ้น แต่ไม่สำเร็จ ส่วนนักลงทุนสถาบัน พบสำนักงานประกันสังคมถือหุ้นจำนวนมากในบริษัทหลายแห่ง

ราคาหุ้นอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลงมากในช่วงนี้ Hoonsmart.com สำรวจรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีมากกว่า 40 บริษัท พบว่าบริษัทจำนวน 17 แห่งมีนักลงทุนรายย่อยถือหุ้นมากกว่า 50% ของทุนเรียกชำระแล้ว ขณะที่เจ้าของผู้ก่อตั้งบริษัท หรือผู้บริหารบริษัทเหลือหุ้นเพียงเล็กน้อย หลายคนไม่มีชื่อติดอันดับ

โดยเฉพาะบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) มีผู้ถือหุ้นรายย่อยถือมากที่สุดถึง 91% ของทุนชำระแล้ว โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่มีชื่อนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ และนาย ทิฆัมพร เปล่งศรีสุข ถือหุ้น ส่วนกลุ่มนาง ยุพา เตชะไกรศรี เหลือหุ้นไม่ถึง 6% จึงไม่แปลกใจที่ราคาหุ้น LPN ปรับตัวลงมามากต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน จนคณะกรรมการบริษัทฯ ต้องมีมติเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน จำนวน 42 ล้านหุ้นคิดเป็น 2.85% ภายในวงเงิน 400 ล้านบาท ทั้งนี้ราคาหุ้นในช่วง 52 สัปดาห์ ราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 13.80 บาท และลดลงต่ำสุดที่ 7.85 บาทในช่วงนี้ ล่าสุดอยู่ที่ 8 บาท

ส่วนหุ้นอสังหาฯ ในกลุ่มบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์(LH) คือ LH, บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) รวมถึง บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) หรือ AP ที่มี นาย อนุพงษ์ อัศวโภคิน เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีผู้ถือหุ้นรายย่อยถือหุ้นมากกว่า 60% เช่นเดียวกับกลุ่ม “ตั้งมติธรรม” บริษัท มั่นคงเคหะการ (MK)และบริษัทศุภาลัย (SPALI) ก็มีรายย่อยถือหุ้นมากกว่า 60% โดย MK นายชวน ตั้งมติธรรม ผู้ก่อตั้งและบริหารมานาน ได้ขายหุ้นให้กลุ่มทุนใหม่ นำโดยบริษัทฟินันซ่าและนายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ส่วนน้องชาย คือ นายประทีป ตั้งมติธรรม ได้เข้าไปซื้อหุ้น MK ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่ง ถือหุ้นเพียง 11%

บริษัท ณุศาศิริ (NUSA) นักลงทุนรายย่อยถือหุ้นมากกว่า 74% หลังจาก นายวิษณุ เทพเจริญ เข้ามาซื้อหุ้นบริษัทสิ่งทอในตลาดหลักทรัพย์เพื่อนำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้าตลาดหุ้นทางอ้อม ถือโอกาสขายหุ้นทำกำไรและมีนายประเดช กิตติอิสรานนท์ นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาถือหุ้นใหญ่ ผ่านนายกำธร และ น.ส.นันทิดา กิตติอิสรานนท์ ซึ่งลูกชายและลูกสาวของนายประเดชได้ขายหุ้นออกไปเช่นเดียวกัน

“บริษัทอสังหาฯ หลายแห่งมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากกว่า 10,000 ราย โดยเฉพาะบริษัทแสนสิริ (SIRI) มีสูงถึง 36,731 ราย จากการถือหุ้นรวมกัน 70.89% บริษัท LH และ QH มากกว่า 20,0000 ราย”

ทั้งนี้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ กระจายการถือหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อยมากกว่าเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยถือไม่น้อย 150 รายและถือหุ้นไม่น้อยกว่า 15% ของทุนเรียกชำระแล้ว โดยนิยามของผู้ถือหุ้นรายย่อย หมายถึง ผู้ถือหุ้นที่มิได้เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการบริหารงาน (Strategic Shareholders) ไม่รวมผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นเกินกว่า 5% ของทุนชำระแล้ว

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเข้ามาถือหุ้นอสังหาริมทรัพย์ เพราะติดหุ้นแกะไม่ออก เมื่อเข้ามาซื้อหุ้นแล้วราคาปรับตัวลง จำเป็นต้องถือต่อไปด้วยเหตุของบริษัทประสบปัญหาขาดทุน รวมถึงหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ไม่ได้รับความนิยมสูงเหมือนที่ผ่านมา แม้ว่าผลการดำเนินงานมีกำไรแต่ราคาปรับตัวขึ้นไม่ได้ โดยเฉพาะบริษัทที่ไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ และไม่มีเจ้าของถือหุ้นหรือบริหารเหมือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม บริษัทอสังหาฯหลายแห่งยังคงมีเจ้าของถือหุ้นใหญ่ เช่น บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) ที่มีนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ถือหุ้นมากที่สุด 60.04% ยังไม่รวมการถือหุ้นของบุคคลในครอบครัว “วิจิตรพงศ์พันธุ์” ด้วย

ส่วนนักลงทุนสถาบันที่ลงทุนในอสังหาฯ พบว่า สำนักงานประกันสังคม ถือหุ้นอันดับต้นๆ ของบริษัทหลายแห่ง เช่น LPN ถืออันดับสองจำนวน 4.64% LH ถืออันดับหก จำนวน 3.42 PSH ถืออันดับสอง 4.40% รวมถึงกองทุน ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต่างๆ