JFIN Coin ทุบตลาดเงินดิจิทัลสลบ

นักลงทุนแหยงลงทุนเหรียญดิจิตอล กลัวซ้ำรอย JFIN Coin ซีมายน์เปิดขาย ZMN วันแรกได้ 3.5 ล้านบาท มั่นใจปิดจองเกลี้ยง 150 ล้านบาท คนในวงการเผยขายรายใหญ่เม.ย.ทั้งเดือนได้แค่ 30 ล้านบาท

JFIN Coin ซึ่งเป็น ICO สายพันธุ์ไทยตัวแรก เปิดซื้อขายที่ Coin Asset เมื่อวันที่ 2 พ.ค.2561ที่ผ่านมา ทำนักลงทุนขาดทุนมากที่สุดถึง 45% ทำลายบรรยากาศการเสนอขายครั้งแรก(ICO) ของสกุลเงินดิจิทัลตัวต่อไป แม้ว่าวันที่ 3 พ.ค.ราคาจะปรับตัวขึ้นมาซื้อขายที่ 4.50 บาทก็ตาม

ล่าสุด นายกษมพัทธ์ วิธานวัฒนา ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีมายน์ โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด ผู้ประกอบธุรกิจขุดเหรียญดิจิทัล เปิดเผยว่า บริษัทฯ เปิดเสนอขายเหรียญดิจิทัล ZMN จำนวน 100 ล้านโทเคนวันแรกเมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมาทางเว็บไซต์ซีมายน์ พบว่า นักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อ ICO จำนวนมาก เพียงวันเดียวสามารถขายได้จำนวน 2 ล้านโทเคน มูลค่าประมาณ 3.5 ล้านบาท เพราะเชื่อมั่นแนวโน้มธุรกิจขุดเหรียญดิจิทัลและโมเดลธุรกิจของซีมายน์

“ผมมั่นใจว่าจะเสนอขายเหรียญดิจิทัล ZMN ได้หมดและได้รับเงินตามที่คาดหวังไว้ประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือรวม 150 ล้านบาท เพื่อนำไปขยายธุรกิจซื้อการ์ดจอและขยายตลาดใหม่ ๆ”นายกษมพัทธ์ กล่าว

คนในวงการ Cryptocurrency กล่าวว่า JFIN Coin ได้ทำลายบรรยากาศการลงทุนเหรียญดิจิตอลในประเทศไทยลงแล้ว และทำให้บริษัทที่ขาย ICO ตัวต่อไป ยากมาก ล่าสุด เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ZMN ได้เปิดขายนักลงทุนรายใหญ่ กำหนดขั้นต่ำ 1 แสนบาท ปรากฎว่าขายได้เพียง 30 ล้านบาท และในเดือนพ.ค.เปิดขายนักลงทุนทั่วไป ก็ได้รับความสนใจน้อย แม้ว่า จะมีความน่าสนใจมากกว่า JFIN Coin ก็ตาม

“ZMN มีสินทรัพย์ เป็นเหมือง หนุนหลังและซื้อขายในตลาดที่มีสภาพคล่องที่ดีกว่า Coin Asset”แหล่งข่าวกล่าว

“การเสนอขายเหรียญดิจิทัลแก่ประชาชนทั่วไปในครั้งนี้เรามุ่งเน้นไปที่นักลงทุนรายย่อย เพื่อให้มีผู้ลงทุนหลากหลายกลุ่มถือครองเหรียญดิจิทัล ZMN ทั้งนักลงทุนรายใหญ่ และกลุ่มลูกค้า จากการที่บริษัทฯ เปิดเสนอขายเหรียญดิจิทัลให้นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงไปแล้ว 2 รอบก่อนหน้า ซึ่งความหลากหลายเหล่านี้จะช่วยให้เกิดสภาพคล่องในการซื้อขายเหรียญดิจิทัล ZMN ในตลาด”

ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่า จะได้เงินจากการระดมทุนขายไอซีโอตามที่คาดหวังเพื่อนำไปขยายธุรกิจ โดยเงินส่วนหนึ่งไปจัดซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการขุดทั้งหมด โดยเฉพาะการ์ดจอ ซึ่งบริษัท เอสเทรค (ประเทศไทย) จำกัด พันธมิตรทางธุรกิจของซีมายน์ และจะเป็นตัวแทนการจัดจำหน่ายหน่วยประมวลผลกราฟฟิคที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวักออกเฉียงใต้ จะเป็นผู้เจรจากับโรงงานผู้ผลิตการ์ดจอ เพื่อให้ซีมายน์ซื้อการ์ดจอได้โดยตรง ไม่ผ่านคนกลาง ทำให้ได้รุ่นและราคาที่เหมาะสม ส่วนเงินระดมทุนที่เหลือบางส่วนจะนำไปใช้ในการวิจัยและพัฒนาโปรแกรมและระบบต่าง ๆ เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงลงทุนในด้านการตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับโทเคน

“การที่ซีมายน์สามารถซื้อการ์ดจอได้โดยตรงจากซัพพลายเออร์ ในรุ่นและราคาที่เหมาะสม เป็นการเพิ่มความได้เปรียบเชิงธุรกิจ ทั้งในแง่ โอกาส และต้นทุน นั่นคือ เรามีโอกาสในการทำกำไรจากการขุดบิทคอยน์มากขึ้น เพราะเราสามารถเจรจาซื้อการ์ดจอได้โดยตรงจากโรงงาน จึงลดปัญหาการขาดแคลนการ์ดจอในช่วงที่ราคาเหรียญดิจิทัลปรับตัวเพิ่มขึ้น แถมยังช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย เพราะราคาการ์ดจอที่ได้นั้นถูกกว่าราคาในตลาด ทำให้เราสามารถบริหารต้นทุนได้ดีในช่วงที่ราคาเหรียญในตลาดผันผวน”