ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์ Outsource เพิ่มความคล่องตัวดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์

ก.ล.ต.ปรับเกณฑ์ในการมอบหมายให้บุคคลอื่นเป็นผู้ดำเนินงานแทน (outsource) เพื่อช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยผู้ลงทุนได้รับความคุ้มครองเทียบเท่าระดับสากล เริ่มมีผลบังคับใช้ 16 พ.ย.61

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการมอบหมายให้บุคคลอื่นเป็นผู้ดำเนินงานแทน (outsource) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถทุ่มเททรัพยากรในการนำเสนอสินค้าและบริการที่ดีและเหมาะสม เพื่อตอบโจทย์การลงทุนและการออมให้แก่ผู้ลงทุนและประชาชนให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบธุรกิจให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลด้วยตนเอง

ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถให้บุคคลอื่นซึ่งมีความพร้อมด้านบุคลากรและระบบงานเป็นผู้รับดำเนินงานได้ แต่ต้องสมเหตุสมผลและไม่มีผลเสมือนเป็นการไม่ประกอบธุรกิจ และผ่อนคลายให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเลือกผู้รับดำเนินการได้อย่างยืดหยุ่น โดยแจ้งต่อ ก.ล.ต. ภายหลังที่มีการ outsource


ทั้งนี้ การ outsource งานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ มีผู้ให้บริการจำนวนน้อยรายซึ่งทำให้อาจไม่สามารถหาผู้ให้บริการรายอื่นมาให้บริการแทนได้ในทันที และเป็นงานที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อตลาดทุนโดยรวม ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องเลือกผู้ให้บริการที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. รวมทั้งเพิ่มบทบาทของผู้ประกอบธุรกิจในการกำกับดูแลด้วยตนเอง โดยผู้ประกอบธุรกิจต้องมีการกำหนดนโยบายในการ outsource และทบทวนนโยบายดังกล่าวอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง มีการกำกับดูแลที่เหมาะสม รวมทั้งการจัดให้มีทรัพยากรที่จำเป็นและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้สามารถควบคุมดูแลการดำเนินการของผู้รับดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจยังคงต้องรับผิดชอบต่องานที่ outsource เสมือนเป็นผู้ทำเองด้วย

นอกจากนี้ การแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการ outsource ต่อ ก.ล.ต. ผู้ประกอบธุรกิจต้องกระทำภายใน 15 วันนับแต่วันที่มีการ outsource โดยประกาศจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2561

นางปะราลี สุคนธมาน ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานก.ล.ต. กล่าวว่า “การปรับปรุงหลักเกณฑ์ในครั้งนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบธุรกิจที่จะสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยลดภาระการลงทุนด้านระบบปฏิบัติการของผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว”