บลจ.กสิกรไทย แนะ LTF ครบกำหนดให้ถือต่อ ลุ้นกำไรระยะยาว 10% ต่อปี

บลจ. กสิกรไทย ชี้ทาง LTF ครบกำหนดให้ถือต่อ หวังกำไรระยะยาว 9-10% ต่อปี แนะนำลงทุน LTF ปีนี้ต้องวางแผนตั้งแต่ต้นปี เพราะตลาดหุ้นที่ 1,600 จุดน่าสนใจ ลุ้นสิ้นปี 1,750 จุด ยังเชียร์หุ้นใหญ่ ผันผวนต่ำ ยังเหมาะสมกับภาวะตลาดในปีนี้

น.ส.ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย แนะนำนักลงทุนที่ถือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งครบกำหนดอายุในปีนี้ สามารถถือกองทุน LTF ต่อไปได้ เพื่อสร้างโอกาสทำกำไรจากการลงทุน และต่อยอดเงินลงทุนให้เติบโตต่อเนื่อง เพราะสถิติ 20 ปีที่ผ่านมาพบว่า การลงทุนในตลาดหุ้น (SET Index) ระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป จะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 9 – 10% ต่อปี

“สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนกองทุน LTF ซึ่งในปี 2562 จะเป็นปีสุดท้ายที่จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้วางแผนการลงทุนตั้งแต่ต้นปี ซึ่งราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ หรือสามารถทยอยสะสมการลงทุนในระหว่างปีในจังหวะที่หุ้นปรับตัวย่อลงได้” น.ส.ธิดาศิริ กล่าว

บลจ.กสิกรไทย ยังคงแนะนำธีมการลงทุนในหุ้นใหญ่ ผันผวนต่ำ ซึ่งเหมาะกับสภาวะตลาดผันผวนเช่นนี้ โดยแนะนำกองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี กระจายการลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อสอดรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด

ขณะที่ผู้ที่ต้องการขาย LTF เพื่อนำเงินกลับมาลงทุนต่อ อาจต้องพิจารณาว่าผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนมีความเหมาะสมตามเป้าหมายการลงทุนแล้วหรือไม่

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มองเป้าหมาย SET Index ปลายปี 2562 ที่ 1,750 จุด บนสมมติฐานการคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ปี 2562 ที่ 6% โดยปรับลงจากก่อนหน้านี้ที่คาดไว้ 8% เนื่องจากการปรับลดระดับราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีลงมาที่ 60 เหรียญต่อบาร์เรล จากที่เคยคาดไว้ที่ 70 เหรียญต่อบาร์เรล

“ดัชนีในระดับต่ำกว่า 1,600 จุด เป็นระดับที่น่าสนใจเข้าลงทุนสำหรับระยะกลางถึงยาว เนื่องจากสะท้อน Valuation ที่ P/E ปี 2562 ที่ 13.8 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง รวมถึง ระดับ Dividend Yield ที่ ประมาณ 3.5% น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดได้” น.ส.ธิดาศิริ กล่าว

พร้อมกันนี้ น.ส.ธิดาศิริ คาดว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2562 จะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า ด้วยปัจจัยบวกภายในประเทศอย่างโครงการลงทุนภาครัฐ นำโดยโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในขณะที่ปัจจัยภายนอกยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน เรื่อง Brexit และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในครึ่งปีหลัง

อย่างไรก็ตามยังต้องจับตามองการเลือกตั้งของประเทศไทยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งถ้าหากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างราบรื่นจะช่วยดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ เนื่องจากความมีเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญในมุมมองของนักลงทุน

อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทย ยังคงมุมมองเป็นบวกสำหรับภาพการลงทุนระยะกลางถึงยาว จากแรงหนุนที่มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเติบโตดี โดยคาดว่าในปี 2562 เศรษฐกิจจะมีอัตราการเติบโตในระดับ 4% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่คาดว่าจะอยู่ 4.2% เนื่องจากภาคส่งออกที่เคยเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และการแข็งค่าของค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ ส่วนภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลง

นอกจากนี้รายได้ภาคเกษตรกรรมยังคงไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดยราคาปาล์มและยางพาราเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำในรอบหลายปี อย่างไรก็ตามยังหวังว่าโครงการการลงทุนและมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐและเอกชนจะมาเป็นช่วยสนับสนุนได้

สำหรับผู้ลงทุนที่มีความจำเป็นต้องขายคืนหน่วยลงทุนแต่อยู่ในระหว่างการพิจารณารอใช้จ่ายหรือรอจังหวะลงทุนเพิ่มเติมในปีนี้ หากรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำถึงปานกลาง แนะนำให้มาพักเงินกับกองทุนประเภทตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก ซึ่งกองทุนที่ทางบลจ.กสิกรไทย แนะนำ ได้แก่ กองทุน K-SFPLUS และกองทุน K-PLAN1 ส่วนผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง อาจเลือกกระจายลงทุนในกองทุนผสม ได้แก่ กองทุน K-PLAN2 และ K-PLAN3