“กสิกรไทย” มองเป้าปีนี้ 1,750 จุด แนะรอจังหวะซื้อที่ 1,400 จุด

บล.กสิกรไทย มองหุ้นไทยปีนี้ไม่มี New High ให้เป้าดัชนีปีนี้ 1,750 จุด คาดได้เห็นปลายปี เตือนรับมือความผันผวนระหว่างปี มีโอกาสแกว่งลงไปถึง 1,400 จุดในไตรมาส 2-3 “กวี” ชี้เป็นจังหวะดีซื้อหุ้นใหญ่ พื้นฐานดี

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า บล.กสิกรไทย มองเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสูงสุดของปี 2562 อยู่ที่ 1,750 จุด โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ขณะที่ในไตรมาส 1 มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปถึง 1,650 จุด จากการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติที่ขยับออกจากประเทศพัฒนาแล้วเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ และการเลือกตั้งในประเทศไทย

“ในช่วงต้นปีตลาดหุ้นไทยอาจจะปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจัยต่างประเทศ หลังจากคลายความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ และสงครามการค้าผ่อนคลายลง ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมีประเด็นน่ากังวลมากขึ้น เช่น เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัว ความไม่แน่นอนของกรณี Brexit และกำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐลดลง จึงมีการปรับพอร์ตโยกเงินจากตลาดพัฒนาแล้วมาตลาดเกิดใหม่ แต่คาดว่าจะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นชั่วคราวเท่านั้น เพราะเป็นเพียงการปรับพอร์ตไม่มีเม็ดเงินใหม่มาลงทุน” นายกวี กล่าว

นอกจากนี้ นายกวี เชื่ออีกว่า “ปีนี้จะไม่มี New High เพราะไม่มีเงินใหม่ออกมาลงทุน และหลังจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติแล้ว ในไตรมาส 2-3 ตลาดจะกลับมากังวลเรื่องเดิมๆ ได้แก่ เศรษฐกิจโลกชะลอตัว กำไรบริษัทจดทะเบียนสหรัฐไม่เติบโต รวมถึงความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยดอกเบี้ยของสหรัฐจะกลับมากดดันตลาดอีกครั้ง”

“ตลาดหุ้นปีนี้จะผันผวนรุนแรง โดยมีโอกาสแกว่งได้ถึง 300 จุด หรือ เคลื่อนไหวระหว่าง 1,400 – 1,750 จุด ซึ่งหากตลาดลงไปแถวๆ 1,400 จุด ถือเป็นจังหวะเข้าลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ซึ่งปีที่แล้ว บล.กสิกรไทย ก็มองว่า ตลาดจะปรับลดลงแต่ยังไม่แนะนำให้ซื้อ แต่ปีนี้ถ้าลงให้ซื้อ เพราะการปรับลดลงจะเป็นผลจากปัจจัยภายนอก ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังแข็งแกร่ง” นายกวี กล่าว

ทั้งนี้ แนะนำลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนในประเทศ ได้แก่ ธนาคาร แนะนำ BBL และ TISCO กลุ่มค้าปลีกแนะนำหุ้น CPALL, CPN และ HMPRO

กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว ซึ่งปีนี้การท่องเที่ยวมีโอกาสกลับมาบวก หุ้นแนะนำ ได้แก่ CENTEL, ERW และ AOT

กลุ่มโรงไฟฟ้าที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ที่ได้ประโยชน์จากโครงการ EEC ได้แก่ BGRIM นอกจากนี้ ยังรวมถึงกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ได้ประโยชน์จากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น CK และ STEC และกลุ่มพลังงาน ได้แก่ PTT ที่จะได้ประโยชน์หากราคาน้ำมันไม่ผันผวนมาก