3 เจ้าฟันธงเงินไหลเข้าแล้ว “ทรีนี้ตี้” แนะซื้อ เน้น 5 หุ้นใหญ่

ทรีนีตี้-ดีบีเอส- บลจ.ไทยพาณิชย์มองตรงกันแนวโน้มหุ้นสดใส เงินทุนต่างชาติเริ่มไหลเข้ามาในตลาด TIP คาดเข้ามาหนักๆ ไตรมาส 2 “วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล” แนะให้ซื้อหุ้นเก็บไว้ เน้น SCC-PTT-ADVANC-BBL-KTB 4 เดือนกำไรงาม ทั้งปีให้ผลตอบแทนและเงินปันผลรวม 13.5% เป้าหมายดัชนี 1,800 จุด ล่าสุดต่างชาติซื้อหุ้นไทยต่อเป็นวันที่ 6


นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นปีนี้มีแนวโน้มที่ดี ปัจจัยหลักมาจากมีเงินทุนต่างชาติที่จะไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ TIP ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 9 ม.ค. ตลาดหุ้นทั้ง 3 แห่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.5% โดยมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์จำนวนมาก ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเพิ่งไหลเข้ามาในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา คาดว่าจะเข้ามามากตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้

นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยตลาดในกลุ่ม TIP เพราะค่าเงินของกลุ่มประเทศ TIP แข็งค่าขึ้น ประกอบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี รวมถึงการถือครองหุ้นของต่างชาติอยู่ในระดับต่ำ ในตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ 29% ของมาร์เก็ตแคป

สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยยังมีเงินทุนไหลเข้าไม่มากในช่วงนี้ เพราะปัจจัยการเมืองกดดัน แต่เชื่อว่าหลังจากมีการเลือกตั้ง และได้รัฐบาลใหม่ ที่เข้ามาสานต่อนโยบายรัฐบาลนี้เกี่ยวกับการลงทุนโครงการสาธารณูปโภค ก็จะทำให้ทั้งปีนี้เงินทุนต่างชาติกลับมาเป็นซื้อสุทธิ

นายวิศิษฐ์แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่ม ขณะนี้ตลาดซื้อขายที่ระดับพี/อีประมาณ 13-14 เท่า ถือว่าไม่แพง แม้ว่าในไตรมาส 1 ตลาดจะยังมีความผันผวนก็ตาม จากความกังวลเรื่องสงครามการค้า แต่มองว่าระดับการปรับตัวลงมีไม่มากแล้ว คาดว่าระดับ 1,500 จุดน่าจะรองรับได้ และเป็นระดับที่ต่ำสุดของปีนี้

แนวโน้มตลาดในปี 2562 ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้น จะอยู่ที่ 1,800 จุด พิจารณาจากพื้นฐานเป้าหมายที่ Forward PE ที่ 15.6 เท่า โดยประเมินผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทยปีนี้ เมื่อรวมกับเงินปันผล อยู่ที่ 13.5% ซึ่งดีกว่าปีก่อนที่ติดลบประมาณ 10% คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในปีนี้จะเติบโตประมาณ 7-9% กลุ่มพลังงานจะเป็นกลุ่มที่ถ่วง รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลง แต่จะมีกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ช่วยจากการเติบโตของสินเชื่อ

“ปีนี้ขอฟันธงว่าเป็นปีหมูทองของการลงทุน เพราะผลตอบแทนในสินทรัพย์ต่างๆ เป็นบวก ตลาดหุ้น จะดีกว่าในตลาดตราสารหนี้” กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าว

สำหรับหุ้นที่น่าลงทุน ได้แนะนำกลุ่มหุ้นปันผลสูง มี 5 หุ้น ได้แก่บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บริษัท ปตท.(PTT) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC) ธนาคารกรุงเทพ(BBL) และธนาคารกรุงไทย (KTB) ประเมินว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี ในช่วงเวลาลงทุน 4 เดือน(ม.ค.-เม.ย.)

ภาพการลงทุนในปี 2562 บล.ทรีนี้ตี้ระบุว่า การลงทุนน้ำมันให้ผลตอบแทนสูงที่สุด 3.9% ตามด้วยตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว 3.6% และ TIP เฉลี่ย 3.5%

ด้านนายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะมีการเติบโตที่ชะลอตัวลง หลังจากในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเติบโตมากกว่าปกติ และมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการเมือง ระหว่างประเทศ และการค้า อย่างไรก็ตาม ทางการจีนได้กระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนโยบายการเงิน และการคลัง จึงมีโอกาสที่จะเติบโตได้มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ขณะเดียวกันทางญี่ปุ่น ก็ได้มีการเจรจาทางการค้าตรงกับหลายประเทศ เช่นเกาหลีใต้ และเซ็นร่วมมือการค้ากับยุโรป ในการเปิดตลาดใหม่ๆ รวมถึงจะมีการเจรจาตรงกับสหรัฐอเมริกา มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นเช่นกัน

“การลงทุนในปีนี้ ตลาดจะมีความผันผวนสูง นักลงทุนจะต้องจับจังหวะการลงทุนให้ดี คาดว่าประมาณกลางปีน่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน ก่อนที่ตลาดจะตอบสนองเรื่องเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่นเติบโตมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และเงินทุนไหลเข้ามาในเอเชีย หลังจากที่ไหลออกไปมากเมื่อปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะฟิลลิปินส์ และอินโดนีเซีย ส่วนของไทย ออกจากหุ้นมาก แต่ยังมีการลงทุนในตลาดตราสารหนี้

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในไตรมาสที่ 1/ 2562 ยังคงมีความผันผวนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยที่ยังส่งผลกระทบต่อการลงทุนส่วนใหญ่ยังมาจากปัจจัยต่างประเทศ แต่การที่เฟดเริ่มส่งสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น คือเปลี่ยนมุมมองการขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงอาจจะชะลอการปรับลดงบดุลของ FED ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงและเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะทำให้มีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศกลับมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ และตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

ไตรมาสที่ 1 มีปัจจัยที่จะสนับสนุนให้ตลาดหุ้นมีโอกาสเพิ่มขึ้น ได้แก่ ตัวเลขนักท่องเที่ยวฟื้นกลับมาและเติบโตต่อได้ การบริโภคและการลงทุนภาครัฐที่ยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะช่วยให้มีการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่อง

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 17 ม.ค. 2562 ดัชนีหุ้นตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,580.30 จุด บวก 2.89 จุด มูลค่าการซื้อขาย 41,844.35 ล้านบาท และเงินบาทแข็งค่าตอเนื่อง เช้านี้เงินบาทนิวโลว์ในรอบ 8 เดือนที่ระดับ 31.57 บาท/ดอลลาร์

นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 527 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทซื้อสุทธิ 634.64 ล้านบาท รองลงมานักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 527.72 ล้านบาท ด้านนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 833.59 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 328.77 ล้านบาท

การเข้าซื้อของต่างชาติติดต่อกันเป็นวันที่ 6 นับตั้งแต่วันที่ 11-17 ม.ค.2562 ซื้อสุทธิรวม 8,027.76 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 2,489.78 ล้านบาท ด้านบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 549.88 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 11,067.43 ล้านบาท