KBANK น่าสน กำไรปีนี้โต

นักวิเคราะห์แนะนำซื้อแบงก์กสิกรไทย คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้จะเติบโต ดีบีเอสฯให้เป้าหมาย 270 บาท สินเชื่อโต 5-7% ทิสโก้ให้มูลค่า 242 บาท คาดผลประกอบการปีนี้โต 10-20% ส่วนทรีนีตี้และบล.ฟิลลิป ปรับลดประมาณการลง รับผลกระทบค่าธรรมเนียมลดลง

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ”ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) ราคาเป้าหมาย 270 บาท/หุ้น หลังกำไรสุทธิ 7,000 ล้านบาทไตรมาส 4 ต่ำกว่าคาดและต่ำกว่าไตรมาส 3 ถึง 28% จากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ส่วนทั้งปี 2561 มีกำไรสุทธิ 3,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% โดยหลักมาจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลงและค่าใช้จ่ายการตลาดเพิ่มขึ้น สินเชื่อโต 6.2% ที่ขยายตัวดีเป็นสินเชื่อรายใหญ่, สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ และสินเชื่อที่อยู่อาศัย

แนวโน้มการดำเนินงานในปี 2562 คงเป้าหมายการเติบโต คาดสินเชื่อขยายตัว 5-7% NIM 3.3-3.5%, รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง 5-7% , Cost-to-income ratio 40% กลางๆ และ Credit cost 165bps ด้าน NPL ratio อยู่ที่ 3.3-3.7%

บล.ทิสโก้ ให้มูลค่าเหมาะสม 242 บาท คาดผลประกอบการดีขึ้น 10-20% แม้ว่าค่าธรรมเนียมจะชะลอตัวลงเป็นความเสี่ยง แต่มองว่า NIM จะชดเชยบางส่วน และด้วยราคาปัจจุบันที่ต่ำเพียง 1.17 เท่า P/BV จากการประชุมนักวิเคราะห์ ผลประกอบการออกมาตามที่ผู้บริหารคาด และยังคงเป้าการเติบโตในปีนี้ จากสินเชื่อที่เติบโตแข็งแกร่ง, NIM ที่เพิ่มขึ้น, OPEX และ Credit Cost ที่ต่ำกว่าคาด แต่ non-NII ลดลง

ประธานของ KBANK ได้เข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์ และเผยว่าผล Disrupt ของเทคโนโลยีได้หมดไปแล้ว และธนาคารจะเริ่มสร้างรายได้จากช่องทางใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการวิเคราะห์ข้อมูลและให้บริการสินเชื่อรายย่อย และมีสิ่งที่เราสนใจคือ การที่ธนาคารร่วมกับธุรกิจอื่นในการประเมินความเสี่ยงลูกค้าเพื่อสร้าง Credit Score ที่ดีขึ้น และมีบริการใหม่เช่นร่วมมือกับ Grab ในการให้สินเชื่อแก่คนขับรถและหักเงินโดยตรงผ่านรายได้ในแต่ละวัน ซึ่งจะทำให้ประเมินความเสี่ยงได้ดีขึ้น เว้นแต่ว่าคนขับรถจะหยุดให้บริการ

บล.ทรีนีตี้ แนะนำ “ซื้อ” ปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 213 บาท หลังปรับลดประมาณการกำไรปี 2562 ลงอีกราว 2% จากประมาณการก่อนหน้าเหลือ 40,199 ล้านบาท เติบโต 4.5% คาดว่าปัจจัยกดดันหลักจะยังมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลงเนื่องจากการยกเลิกค่าธรรมเนียม Digital ที่จะส่งผลกระทบเต็มปี แต่แนวโน้มคุณภาพหนี้ที่เริ่มทรงตัวจะช่วยให้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ลดลง เมื่อรวมกับแนวโน้มรายได้ดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเติบโตแล้ว จึงมีโอกาสที่กำไรปี 2562 ยังเติบโตได้ อย่างไรก็ตามรายได้ค่าธรรมเนียม ที่ยังมีแนวโน้มที่จะลดลงอาจต่ำกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้า

กำไรไตรมาส 4 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 7,033 ล้านบาท อ่อนตัว 28%จากไตรมาส 3 ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้าถึง 19% โดยมีประเด็นสำคัญคือรายได้ดอกเบี้ยสุทธิดีขึ้นเล็กน้อยราว 2% โดยสินเชื่อเติบโตได้ดีราว 3.5% จากสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อบ้าน ขณะที่ NIM ลดลงเล็กน้อยจากฐานเงินฝากที่สูงขึ้น ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงราว 4% โดยค่าธรรมเนียมการโอนเงินยังมีแนวโน้มลดลง ขณะที่กำไรจากเงินลงทุนและ Fx ลดลงเช่นกัน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 20% โดยหลักเป็นการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายทางการตลาด ทำให้ Cost-to-income ratio เพิ่มขึ้นเป็น 51.2% ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว 4% เนื่องจากสัดส่วน NPL เพิ่มขึ้นจาก 3.25% เป็น 3.31%

บล.ฟิลลิป แนะนำ “ซื้อ” ปรับลดประมาณการกำไรเหลือ 3,950 ล้านบาท และราคาเป้าหมายเป็น 227 บาท/หุ้น คาดปี 2562 ยังคงตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 5-7% เช่นเดิม โดยจะเน้นปล่อยสินเชื่อรายย่อยเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มผลตอบแทนสินเชื่อมาชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังอาจจะลดต่ำลงจากการฟรีค่าธรรมเนียมการโอนเงินช่องทางดิจิตอล

KBANK ได้ให้แนวทางรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยในปีนี้ ว่าจะลดลง 6-8% เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังจะได้รับผลกระทบจากการให้ฟรีค่าธรรมเนียม และธุรกิจประกันที่อาจจะยังไม่ฟื้นตัว