ครม.ไฟเขียวขึ้นบัญชีคุมค่ายา-เวชภัณฑ์-ค่าบริการทางการแพทย์

ครม.เห็นชอบตามกกร. ชงค่ายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์เป็นสินค้าและบริการควบคุม ตั้งคณะอนุกรรมการดูแลรายละเอียด ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ด้านบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองราคาหุ้นสะท้อนข่าวแล้ว ด้านดีบีเอสฯ-ธนชาต เชื่อกระทบหุ้นรพ. ชี้เป้า BDMS-BH หนัก

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์ โดยคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) เสนอให้นำค่ายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ เข้าเป็นสินค้าและบริการควบคุมประจำปี 2562 และหลังจากนี้จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการเข้ามาดูแลในรายละเอียด เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายทั้งประชาชน โรงพยาบาลเอกชน

“ขอให้ในส่วนของตลาดทุนอย่าได้ตื่นตระหนกว่ารัฐบาลจะเข้าไปควบคุม ขอให้สบายใจว่ารัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง จะให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย” รมว.พาณิชย์ กล่าว

บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลปรับตัวลงสะท้อนปัจจัยดังกล่าวไปพอสมควร อย่างไรก็ตามเรากำลังอยู่ระหว่างการสอบถามถึงรายละเอียด, ระยะเวลา และกระบวนการควมคุม เพื่อประเมินผลกระทบ

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) มองกระทบต่อหุ้นโรงพยาบาล เช่น BDMS, BH,BCH, CHG, RJH, EKH, LPH, THG เป็นต้น

บล.ธนชาต มองเป็นผลลบต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลที่มีรายได้จากกลุ่มลูกค้าเงินสดสูง เช่น BDMS, BH จะได้รับผลกระทบสูงกว่าโรงพยาบาลที่มีรายได้จากปรกันสังคม อย่าง BCH,CHG, RJH

บล.หยวนต้า มองหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลมีความชัดเจนมากขึ้น จากการประชุม ครม. คือ ให้ค่ายา, เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์เป็นสินค้าควบคุม แต่ “ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เข้าไปควบคุมราคาขึ้นสูงสุดในการให้บริการ” จะส่งผลให้ตลาดมีมุมมองเป็นลบน้อยลงต่อกลุ่มรพ.

จุดเด่นของ BCH คือ รายได้กระจายตัวจากโครงการประกันสังคมสัดส่วน 30% ขณะที่ลูกค้าเงินสดจับตลาดระดับกลาง และได้แรงหนุนจากการเปิดศูนย์แพทย์เฉพาะทางในปี 2562

หุ้นรพ.ขนาดกลางมีการฟื้นตัวได้ดีกว่าเนื่องจากมีการคิดค่ารักษา ณ ปัจจุบันที่ถูกกว่า แนะนำ “สะสม”