บลจ.แอสเซท พลัส สรุป “10 เรื่องต้องรู้ก่อนลงทุนปี 2562”

บลจ.แอสเซท พลัส เปิด 10 ประเด็นที่สำคัญสำหรับการลงทุนในปี 2562 เชียร์ซื้อหุ้นอินเดีย จีน เวียดนาม มั่นใจตลาดเกิดใหม่น่าสนใจกว่าตลาดพัฒนาแล้ว เชื่อกระแสหุ้น Disrupt – AI – Robot ไม่มีวันตาย

นายคมสัน ผลานุสนธิ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส กล่าวในงานสัมมนา Investment Forum 2019 : Greed or Fear? โดยระบุ ประเด็นสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนในปี 2562 ไว้ 10 เรื่อง ได้แก่

1. สหรัฐฯ ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย

ในปี 2562 เริ่มมีสัญญาณทางเศรษฐกิจหลายตัวที่ชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่การชะลอตัว หรือ Late Cycle (แต่ยังไม่ถึงขั้น Recession) ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะชะลอการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น หรือ หากจะปรับเพิ่มขึ้นก็เพียง 1 ครั้งเท่านั้น

2. เงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และมีโอกาสที่จะอ่อนค่าลงในปี 2562 ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจะเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากทิศทางชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ เศรษฐกิจสหรัฐอ่อนตัวลง การลงทุนในสหรัฐเริ่มน่าสนใจน้อยลง และปัจจัยหนุนเรื่องการส่งเงินกลับประเทศเริ่มหมดไป

3. ราคาน้ำมันในระยะยาวยังผันผวน

แม้ว่า จะหมดยุคที่ราคาน้ำมันจะขึ้นไปถึง 80 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็จะไม่ลดไปอยู่แถวๆ 30-40 ดอลลาร์สหรัฐอีกแล้ว โดยคาดว่า ปีนี้ราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ประมาณ 60 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ในระยะยาวแล้วน้ำมันมีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก การใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น และ OPEC มีแผนการลดอัตราการผลิตเพื่อรักษาสมดุลราคาน้ำมัน

4. ตลาดเกิดใหม่ กลับมาโดดเด่นกว่าตลาดพัฒนาแล้ว

หลังจากที่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ปรับลดลงมาจนใกล้ถึงจุดต่ำสุด จนทำให้มูลค่าพื้นฐานกลับมามีความน่าสนใจอีกครั้ง นอกจากนี้แนวโน้มการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ และราคาน้ำมันที่เริ่มทรงตัวทำให้การลงทุนในตลาดเกิดใหม่น่าสนใจกว่าตลาดพัฒนาแล้ว

“คาดว่าในปี 2562 จะมีเงินลงทุนจำนวนมากไหลกลับเข้าไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ทั้งตลาดหุ้น ตราสารหนี้ และอัตราแลกเปลี่ยน” นายคมสัน กล่าว

5. ไม่มีเงินใหม่อัดฉีดเข้ามาในระบบ

การอัดฉีดสภาพคล่องในระบบ (QE) ของธนาคารกลางทั่วโลกลดลง โดยสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เริ่มมีแนวโน้มถอนเงินที่เคยอัดฉีดเพิ่มเติมในระบบออก ซึ่งที่ผ่านมาสภาพคล่องที่อัดฉีดเข้ามาถือเป็น easy money ที่ช่วยพยุงตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นให้ปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

“การปั๊มเงินเข้าระบบของธนาคารกลางทั่วโลกจบลงแล้ว และปี 2562 จะเป็นปีแรกที่เงินไหลเข้าระบบติดลบ แต่ไม่ได้หมายความว่า ตลาดหุ้นจะปรับลดลงไปอีก เพราะที่ผ่านมาตลาดได้รับรู้ข่าวนี้และปรับลดลงไปแล้ว อย่างไรก็ตาม การลงทุนยังคงต้องระมัดระวัง ต้องเลือกตลาด และเลือกบริษัท” นายคมสัน กล่าว

6. Inverted Yield Curve ไม่ใช่สัญญาณร้าย

ในอดีตหากเกิดกรณีที่ “ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว” (Inverted Yield Curve) จะถือว่าเป็นสัญญาณว่า เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่ปรับลดลงนั้น เป็นผลจากการอัดฉีด QE ทั่วโลก ทำให้มีสภาพคล่องส่วนเกิน และกดดันผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต

“ในอดีต Inverted Yield Curve เป็นสัญญาณที่แม่นยำ แต่ครั้งนี้อาจจะเป็น False Signal” นายคมสัน กล่าว

7. ไทย-เวียดนาม จะได้ประโยชน์จากสงครามการค้า

การทำสงครามทางการค้าของจีนกับสหรัฐอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญของห่วงโซ่การผลิต ซึ่งสะท้อนได้จากภาพรวมระยะสั้นที่เริ่มมีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังภูมิภาคอาเซียน ที่มีค่าแรงค่อนข้างถูก โดยเริ่มจากการทำบรรจุภัณฑ์ (Repackaging) แต่ในระยะกลางถึงยาวน่าจะมีการย้ายฐานการผลิตของบริษัทใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้า

8. หุ้นกลุ่ม Disrupt ยังเติบโตได้ดี

หุ้นกลุ่มที่อยู่ในกระแส Disrupt ยังมีโอกาสเติบโตได้ดี เนื่องจากกลุ่มธุรกิจที่เข้ามา Disrupt ธุรกิจเดิมๆ ยังคงเป็นที่จับตาและมีอัตราการเติบโตสูง เช่น หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ Cloud Service ซึ่งเข้ามาเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจแบบเก่าให้เป็นรูปแบบใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจสะดวกต่อการบริหารจัดการ โดยอัตราการเติบโตของ Cloud Service ยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 17% ต่อปี

9. 5G เปลี่ยนชีวิต

ในปี 2562 ประเทศหลักๆ ในโลกน่าจะเริ่มใช้ สัญญานอินเตอร์เน็ต 5G ซึ่งมีความเร็วมากกว่า 4G ถึง 1,000 เท่า ซึ่งคาดว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญของโลกอีกครั้ง ทำให้เกิดเทคโนโลยีและธุรกิจใหม่ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ และธุรกิจให้เช่ารถยนต์ระหว่างที่ไม่ได้ใช้งาน

10. Robot ไม่มีวันตาย

แม้ว่าในปีที่ผ่านมากระแสการใช้หุ่นยนต์ในงานด้านต่างๆ จะชะลอตัว ตามภาวะเศรษฐกิจ แต่เชื่อว่าในอนาคต ด้วยอัตราการพัฒนาของนวัตกรรมที่ค่อนข้างสูง ธุรกิจบางประเภทจะถูก Disrupt โดยหุ่นยนต์ เช่น การเกษตร งานก่อสร้าง และ งานที่ไม่ต้องใช้ทักษะของแรงงานมาก ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ยังคงน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว

“จากแนวโน้มทั้ง 10 ประเด็นจึงเชื่อว่า ตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วจะยังเติบโตต่อไปได้ แต่ต้องเลือกลงทุน โดยแนะนำ 2 ธีมลงทุน คือ หุ้นกลุ่มที่อยู่ในกระแส Disrupt, Robot และ AI เพราะเชื่อว่า ยังมีหุ้นที่สามารถทำกำไรได้ดีในระยะยาว แม้ว่าระยะสั้นจะมีความผันผวน และที่ผ่านมาราคาปรับลดลงมากแล้ว แต่มีโอกาสที่จะรีบาวด์กลับมา” นายคมสัน กล่าว

สำหรับการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดพัฒนาแล้ว เนื่องจากการชะลอขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ และราคาน้ำมันทรงตัว แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งปลอดภัยจากสงครามการค้า และมีการบริโภคในประเทศสูง

“ตลาดหุ้นจีนเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ แม้ว่าจะยังไม่มีข้อสรุปของสงครามการค้า แต่ราคาหุ้นปัจจุบันถูกมาก และนับจากต้นปีปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว 6-7% แสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นจีนไม่ได้สนใจกับประเด็นสงครามการค้าแล้ว นอกจากนี้ เชื่อว่ารัฐบาลจีนจะมีกระสุนที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไม่แย่ไปกว่านี้” นายคมสัน กล่าว

นอกจากนี้ นายคมสัน ยังเชื่อว่า ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดที่มีศักยภาพในระยะยาว โดยการบริโภคยังดี การส่งออกแข็งแกร่ง และได้ประโยชน์จากสงครามการค้า ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 12% แต่ที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลดลงจากปัจจัยภายนอก และในปี 2563 มีโอกาสที่จะขยับจาก Frontier Market มาอยู่ใน MSCI Emerging Market หลังจากเปิดให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้ 100%