ดาวโจนส์ร่วง 200 จุด วิตกศก.ถดถอย ECB เผยแผนกระตุ้น

HoonSmart.com>>ดาวโจนส์ปิดร่วง 200 จุด วิตกเศรษฐกิจถดถอยหลัง ECB เผยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ คงอัตราดอกเบี้ยต่ำตลอดปี ลดคาดการณ์ยูโรโซนจากโต 1.7% เหลือ 1% ปลายปีก่อนขยายตัวแค่ 0.1-0.2%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 7 มี.ค. 2562 ที่ 25,473.22 จุด ลดลง 200.23 จุด หรือ 0.78% แรงขายกระจายไปทั่วตลาดเกือบทุกกลุ่ม นำโดยกลุ่มการเงิน ด้วยนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังจากธนาคารกลางยุโรป(ECB) ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของยูโรโซนที่ชะลอตัว พร้อมปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2019 จาก 1.7% เป็น 1.1% โดยระบุว่าเป็นผลจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองโลก นโยบายกีดกันทางการค้า และความผันผวนในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่

รายได้ประชาชาติ(จีดีพี) ของยูโรโซนลดลงอย่างรุนแรง โดยขยายตัว 0.2% ในไตรมาส 4 ปี 2561 จากที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในไตรมาส 3 ขณะที่สองไตรมาสก่อนหน้านั้นเติบโต 0.4%

ธนาคารกลางยุโรปยังระบุว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันไปตลอดทั้งปี 2019 ซึ่งเป็นเวลานานกว่าที่คาดหลายเดือน และจะเริ่มอัดฉีดเงินเข้าระบบผ่านโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Targeted Long-Term Refinancing Operations:TLTRO )ด้วยการปล่อยเงินกู้ระยะ 2 ปีในอัตราดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์ตั้งแต่เดือนก.ย.นี้ไปจนถึงเดือนมี.ค. 2021 เพื่อให้ธนาคารนำไปปล่อยสินเชื่อ และนับเป็นการอัดฉีดเงินผ่านมาตรการ TLTRO ครั้งที่ 3 นับตั้งแต่ปี 2014

เมื่อวันที่ 7 มี.ค.2562 องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ( OECD) ได้ปรับลดประมาณการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลกปี 2019 และ 2020 อีกครั้ง โดยคาดว่า เศรษฐกิจโลกปี 2019 จะขยายตัว 3.3% ลดลงจากประมาณการณ์เดิม 3.5% และ ส่วนปี 2020 จะขยายตัว 3.4% จาก 3.5%

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,748.93 จุด ลดลง 22.52 จุด, -0.81%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,421.46 จุด ลดลง 84.46 จุด, -1.13%

ขณะเดียวกันการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไปเสร็จสิ้นลงแล้ว แม้มีบริษัทจำนวนมากใน S&P 500 มีผลกำไรดีกว่าที่คาด แต่เป็นการเพิ่มขึ้นที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว อีกทั้งหลายบริษัทปรับลดคาดการณ์กำไรในปีนี้

นอกจากนี้การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนยังไม่มีข้อมูลใหม่ออกมา หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายระบุก่อนหน้านี้การเจรจาใกล้จะได้ข้อสรุป

กระทรวงแรงงานเผยผลผลิตนอกภาคเกษตรไตรมาส 4 ปี 2561 เพิ่มขึ้น 1.9% จากไตรมาสก่อนหน้าและสูงกว่า 1.6% ที่นักวิเคราะห์คาด ส่วนการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ก่อนลดลง 3,000 รายมาที่ 223,000 ราย

อย่างไรก็ตามตัวเลขการปลดพนักงานเดือนก.พ.มีจำนวน 76,835 ราย สูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 3.5 ปี โดยเฉพาะในธุรกิจค้าปลีก ส่วนหนึ่งมาจากบริษัทเพย์เลส ชูซอร์ส ยื่นขอล้มละลายตามมาตรา 11 ซึ่งมีผลให้พนักงาน 16,000 คนออกจากงาน

หุ้นแบงก์ออฟอเมริกาลดลง 0.4% หุ้นโกลด์แมนแซคส์ลดลง 1.01% หุ้นมอร์แกน สแตนเล่ย์ลดลง 1.1% หุ้นซิตี้กรุ๊ปลดลง 1%

หุ้นยูไนเต็ดเทคโนโลยี่ส์ และหุ้น 3M ต่างลดลง 2%

ตลาดยุโรปปิดลบ จากการปรับลดอัตราเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ของธนาคารกลางยุโรป รวมทั้งการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ด้วยการอัดฉีดเงินผ่านโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไปจนถึงปี 2021 ขณะเดียวกันนักลงทุนรอผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน

ตลาดยังจับตาสถานการณ์การเมือง หลังจากอิตาลีประกาศจะเข้าร่วมโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง(One Belt, One Road) ของจีน ขณะที่การถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปยังมีความไม่แน่นอน

คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปเตือนรัฐบาลอังกฤษให้รีบนำข้อตกลงใหม่มาเสนอให้พิจารณาภายใน 48 ชั่วโมงก่อนที่มีการลงคะแนนในสัปดาห์หน้า

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,157.55 จุด ลดลง 38.45 จุด, -0.53%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 373.88 จุด ลดลง 1.60 จุด, -0.43%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,267.92 จุด ลดลง 20.89 จุด, -0.40%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,517.80 จุด ลดลง 69.83 จุด, -0.60%

หุ้นกลุ่มยานยนต์และกลุ่มทรัพยากรต่างลดลงมากกว่า 2%

ในอังกฤษหุ้นอินมาร์แซท ผู้ให้บริการโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมเพิ่มขึ้น 8% จากผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ที่เพิ่มขึ้น 15% หุ้นเจซีเดอโกเพิ่มขึ้น 1.2% จากผลกำไรปี 2018 และประกาศจ่ายเงินปันผล

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 44 เซนต์ ปิดที่ 56.66 ดอลลาร์ ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ ปิดที่ 66.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล