SENA ตั้งเป้าขายเฉียด 2 หมื่นล.โตก้าวกระโดด บุกภูธร

HoonSmart.com>>เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ทะยาน 93% มีงานในมือรอรับรู้รายได้กว่า 1 หมื่นล้านบาท เปิดใหม่ 22 โครงการ มูลค่ากว่า 2.4 หมื่นล้านบาท สะสมอสังหาฯสร้างรายได้ระยะยาว จับมือพันธมิตรบุกทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด หาลูกค้าตัวจริง บริหารความเสี่ยงจำกัดการขายคอนโดฯไม่เกิน 3 ยูนิต/คน เผยลูกค้าคนจีนมี 2,000 คน วางดาวน์สูง โอนมาก ไม่ทิ้งบ้าน

น.ส.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์(SENA) เปิดเผยว่า ในปี 2562 บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 19,639 ล้านบาท เติบโต 93% จาก 10,168 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา สูงกว่าในช่วงปี 2561-2560 เติบโตประมาณ 60% ยอดขายมาจากการขายที่รอรับรู้รายได้(แบ็กล็อก)สัดส่วน 55 % และการขายใหม่ในปีนี้ 45% โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่จำนวน 22 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.4 หมื่นล้านบาท จำนวน 7,000 ยูนิต และณ สิ้นปี 2561 มีการขายที่รอรับรู้รายได้อยู่ที่ 10,210 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ามีจำนวน 4,577 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการที่ทยอยรับรู้รายได้ บางโครงการมีแผนขาย 4 ปี อย่างน้อยมีของให้ขายอย่างน้อย 7,000 ล้านบาทต่อปี

” เราเปิดโครงการใหม่จำนวนมาก หลังจากพิสูจน์ผลงานในปีที่ผ่านมาเปิดได้ 20 โครงการ และเสนามีโครงสร้างธุรกิจไม่เหมือนกับรายอื่น ทั้งสินค้า ลูกค้า และตลาด บริษัทฯขายอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่หลังละ 2 ล้านบาท ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่บางรายชะลอการเปิดโครงการในปีนี้ เพื่อขอดูภาพเศรษฐกิจโดยรวมหรือผลกระทบจากมาตรการของรัฐก่อน ” น.ส.เกษรากล่าว

รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า กลยุทธ์การทำธุรกิจเพื่อเติบโต คือการเปิดโครงการใหม่ ซึ่งโครงการที่จะเปิด 22 แห่ง คิดเป็นมูลค่าไม่ได้เพิ่มขึ้นมากจากปีก่อน โดยเป็นการลงทุนของบริษัทเสนาฯเอง 5,343 ล้านบาท โครงการร่วมลงทุน ของ เสนาฮันคิว 13,052 ล้านบาท เสนาวานิจ 630 ล้านบาท จึงไม่มีแรงกดดันเรื่องการจัดหาแหล่งเงินทุน เนื่องจากมีบริษัทร่วมลงทุนหลายแห่ง เช่น บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์คอร์ป และบริษัท พราว วานิจ

นอกจากนี้บริษัทยังขยายตลาดใหม่ เพื่อหาลูกค้าที่มีความต้องการที่แท้จริง การออกไปต่างจังหวัดเป็นกลยุทธ์หนึ่ง ปีนี้เปิดโครงการที่จังหวัดลพบุรี 1 โครงการ และจังหวัดชลบุรี 2 โครงการ ที่ผ่านมาเน้นกรุงเทพฯและปริมณฑล มองหาโอกาสในเมืองรอง ที่ EEC เชื่อว่าผู้ประกอบการอสังหาริทรัพย์ทุกรายจะต้องเข้าไป เพราะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมาก แต่มีข้อเสียคือ ราคาที่ดินปรับขึ้นไปแล้วเหมือนโครงสร้างพื้นฐานเสร็จแล้ว บริษัทเสนาฯมีที่ดินอยู่จำนวนหนึ่ง

” เราเติบโตมาจากบริษัทเสนาฯเองและการซื้อบริษัทที่เกิดแล้ว ได้โครงการติดมา เริ่มมาทำต่อ ส่วนรายได้ประจำทุกอย่างยังเหมือนเดิม บริษัทตั้งใจลงทุนเพิ่ม แต่ยังไม่มีโอกาส สนใจธุรกิจโรงแรมและสำนักงาน ในอีก 2-3 ปี ไม่ได้หวังพึ่งรายได้จากการขายของใหม่อย่างเดียว รายได้ประจำช่วยเพิ่มกระแสเงินสดให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ส่วนโซลาร์ที่บริษัทมีอยู่ทั้งที่ติดบนหลังคาบ้าน และโซลาร์ฟาร์ม โดยเสนาฯมีโซลาร์ให้กับทุกโครงการ”

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปีนี้เป็นปีที่ยากในการทำธุรกิจ ทั้งภาวะเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยและปริมาณสินค้าที่มีมาก จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้ยอดขายไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ยอมรับว่ามาตราของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีผลกระทบบ้าง เพราะทุกโครงการมีนักลงทุนเข้ามาเสมอ แต่ไม่รู้ว่ากี่เปอร์เซนต์ จากข้อมูลในอดีตมีคนที่ซื้อบ้านหลังที่สองหลังที่สาม ประมาณ 24% คาดว่าคนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการธปท.ประมาณ 20% เดิมเคยกู้ได้ 100% ปีนี้กู้ได้ 70 -90% มีความเสี่ยงที่จะกู้ไม่ผ่าน ส่วนลูกค้าคนจีน บริษัทมีจำนวน 2,000 คน ดาวน์สูง 20-30% โอนมากถึง 80% ไม่เคยทิ้งโครงการ ปีที่ผ่านมา บริษัทมีการพัฒนาการบริหารความเสี่ยง ให้คนซื้อคอนโดมิเนียมไม่เกิน 3 ยูนิต ยกเว้นการซื้อทั้งครอบครัว แต่ไม่เกิน 3-5 ห้องสำหรับคนไทย ไม่เคยขายทั้งฟลอร์

น.ส.เกษรากล่าวว่า บริษัทเสนาฯต้องใช้กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ จะต้องหาคนที่ต้องการซื้อบ้านหลังแรก หรือ ซื้อหลังที่สอง หลังจากมีบ้านหลังแรกแล้ว 3 ปี หรือการใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างจากการนำโนฮาวด์จากญี่ปุ่นมาใส่ในโครงการ หรือสร้างบ้านที่มีมุมมองจากผู้หญิง อยู่สบาย ทำให้มีรายละเอียดมากขึ้น และบริการหลังการขายที่มีปรับปรุงอยู่เสมอ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า กรณีลูกค้าจะขายต่อ หรืออยากปล่อยเช่า มีทีมงานทำให้และในแอพพลิเคชั่นของบริษัทมีฐานข้อมูลพร้อมแล้ว

ส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลยังคงให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของกำไร เพื่อต้องการเติบโต ไม่สามารถปรับขึ้นถึง 50% ส่วนเรื่องบุคคลากรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ การซื้อบริษัท ได้บุคลากรเข้ามาเพิ่มขึ้น และบริษัทฯหาจากทั่วไปด้วย การบริหารงานที่ผ่านมา นอกจากมองหาที่ดินในทำเลที่ดีแล้ว ยังให้ความสำคัญกับเรื่องการบริหารต้นทุน เพื่อขายได้ง่าย และมีกำไร ปีที่ผ่านมา ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 47% ส่วนโซลาร์ฟาร์ม อยู่ที่ 57%