ซิตี้กรุ๊ป หั่นเป้าหุ้นสิ้นปี 1,700 จุดหลังเลือกตั้ง ช่วงสั้นแตะ 1,550

HoonSmart.com>>ซิตี้กรุ๊ป ปรับลดเป้าหมายดัชนีหุ้นสิ้นปี 62 ลงมาที่ 1,700 จุด จากเดิมคาดไว้ที่ 1,800 จุด หลังเลือกตั้ง “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รัฐบาลผสม ไม่เข้มแข็ง การดำเนินนโยบายได้ช้าเทียบ 5 ปีก่อน ปรับกลยุทธ์สู่การลงทุนในเชิงรับ แนะ BBL- MTC-SCC-CPALLและ BDMS ส่วนธนชาตมองผลบวกต่อค้าปลีก สื่อสาร ไม่ดีรับเหมาฯ

ใกล้วันเลือกตั้งของไทย โบรกเกอร์ต่างประเทศจับตาสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิด โดยซิตี้กรุ๊ป ออกบทวิเคราะห์ประเมินผลการเลือกตั้งกับตลาดหุ้นไทยมาเป็นระยะๆ รอบแรกวันที่ 4 มีนาคม ประเมินไว้ 2 กรณีคือไทยจะได้รัฐบาลผสมที่อ่อนแอ หรือมีความตึงเครียดเกิดขึ้นอีกรอบ

ทั้งนี้ในกรณีฐานคาดว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่เป็นรัฐบาลผสมที่ไม่เข้มแข็ง และสถานการณ์โดยรวมมีความสงบ อย่างไรก็ตามการผลักดันนโยบายต่างๆจะดำเนินการได้ช้าเมื่อเทียบกับรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่การดำเนินนโยบายระยะปานกลางจะชะงักไปจนถึงเดือนมิถุนายน และจะประสบกับปัจจัยเสี่ยงหลักคือ ภาวะแห้งแล้งและการชะลอตัวของการส่งออก

บทวิเคราะห์ระบุว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา กำไรต่อหุ้น(EPS)ของตลาด มีแนวโน้มลดลง และมีกระแสเงินไหลออกเล็กน้อย ดังนั้นกลยุทธ์จึงปรับไปสู่การลงทุนในเชิงรับ(Defennsive) ส่งผลให้มีการปรับลดเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ลงจาก 1,800 จุดเป็น 1,700 จุดในสิ้นปีนี้ โดยที่ระยะสั้นอาจจะตกลงไปได้ที่ 1,550 จุด

หุ้นที่แนะนำที่เพิ่มเข้ามาได้แก่ BBL แทน KBANK, MTC เนื่องจากความต้องการสินเชื่อในต่างจังหวัด, SCC จากราคาและผลตอบแทน, CPALL แทน ROBINS และยังมีมุมมองเชิงบวกใน BDMS เนื่องจากแรงกดดันจากการกำกับดูแลลดลง เพราะการเมือง

ในบทวิเคราะห์ฉบับต่อมาวันที่ 19 มีนาคม จากการที่ได้ข้อมูลจากความเห็นที่มีการแสดงต่อสาธารณะ นโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองและพันธมิตรทางการเมืองที่เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ซิตี้กรุ๊ปได้วิเคราะห์สถานการณ์ไว้ดังนี้

นโยบายเศรษฐกิจที่ประกาศโดยพรรคการเมือง เป็นนโยบายประชานิยม และเห็นชัดเจนว่าส่งเสริมการบริโภค และให้คำมั่นจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งมีผลกระทบทางลบสำหรับหุ้นบางตัว

สถานการณ์การเมืองล่าสุดตอกย้ำมุมมองที่ว่า ไม่ว่าพรรคไหนจะชนะ ก็จะได้รัฐบาลผสมที่อ่อนแอ ผลสำรวจโพลล์จำนวนมากและการประกาศความเป็นไปได้ในการจับขั้วทางการเมืองชี้ไปที่ทั้งด้านการเป็นอุปสรรคและแรงหนุนต่อเคมเปญสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี

ซิตี้กรุ๊ปยังคงมองว่า การเลือกตั้งมีผลทางลบต่อตลาดเล็กน้อย ไม่ว่ารัฐบาลจะนำโดยพลเอกประยุทธ์หรือพรรคการเมืองอื่น รัฐบาลใหม่จะไม่เข้มแข็งและไม่มีเสถียรภาพ อีกทั้งการใช้นโยบายประชานิยมจะมีผลต่อษศักยภาพการเติบโตระยะยาวงของประเทศไทย

ด้านบล.ธนชาต มองแนวโน้มการเลือกตั้งที่คาดว่า พล.อ.ประยุทธ์มีแนวโน้มจะได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกฯ สมัยต่อไป แต่นโยบายหาเสียงของทุกพรรคการเมือง เน้นเพิ่มสวัสดิการสังคม หลักๆ คือการเพิ่มค่าแรง เพิ่มอำนาจซื้อ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มค้าปลีก สื่อสาร และ สินค้าอุปโภคบริโภค (CPALL HMPRO คือ top picks ของ ธนชาต) แต่น่าจะมีผลกระทบเชิงลบต่อ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (ที่ยากจะผลักภาระค่าแรงที่ปรับขึ้นไปให้ลูกค้า) และกลุ่มอิเลคทรอนิคส์ (ที่การแข่งขันในโลกสูง)