สมาคมบลจ.เล็งยื่นรัฐบาลใหม่ต่ออายุกองทุน LTF

HoonSmart.com>>นายกสมาคมบลจ. เล็งยื่นรัฐบาลใหม่พิจารณาต่ออายุกองทุน LTF หวังใช้เป็นเครื่องมือดึงประชาชนทั่วไปเข้าสู่ระบบการออมและการลงทุนเพิ่มมากขึ้น มองตลาดหุ้นร่วงโอกาสซื้อสะสม พร้อมลุ้นรัฐบาลใหม่มีสเถียรภาพ สร้างความเชื่อมั่นดึงเงินลงทุนต่างชาติ

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดเผยว่า สมาคมฯ มีแผนเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาเรื่องการต่ออายุสิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งจะสิ้นสุดในสิ้นปี 2562 เนื่องจากมองว่าเป็นปัจจัยสนับสนุนการออมและการลงทุนอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ ซึ่งประเด็นไม่ได้อยู่ที่คนที่มีฐานภาษีสูงจะได้ประโยชน์ แต่ภาครัฐควรมองว่าทำอย่างไรให้คนที่มีรายได้น้อยเข้าสู่การออมและการลงทุนได้มากขึ้น ไม่อยากให้มองมิติเดียว

“เราอยากให้คนเข้ามามากขึ้นในระบบของการออมและการลงทุน ซึ่งตอนนี้เห็นผลและเติบโตได้ดี คือ การลงทุนผ่านกองทุน LTF และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เราจึงอยากให้ภาครัฐพิจารณาเรื่องนี้ ส่วนจะมีแนวทางอื่นๆ สมาคมฯ ก็พร้อมพูดคุย อย่างปลายปีที่ผ่านมาสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)ก็ได้เสนอรูปแบบการลงทุนในกองทุนใหม่ เพื่อให้ภาครัฐให้เครดิตภาษี เป็นต้น”นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าว

นอกจากนี้หากพิจารณาภาวะการลงทุนในปัจจุบันภายใต้ความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวราคาหุ้นปรับตัวลงมา มองเป็นจังหวะเหมาะกับการสะสมหุ้นในต้นทุนที่ไม่แพง ขณะที่บลจ.ต่างโปรโมทและส่งเสริมการออมระยะยาวซึ่งน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี หากมองในทางกลับกันในจังหวะหุ้นขาขึ้น โอกาสติดหุ้นราคาแพงก็มีสูงเช่นกัน

นายวศิน ยังกล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยซึ่งปรับตัวลงแรงเมื่อวานนี้ (25 มี.ค.62) มาจากปัจจัยต่างประเทศความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอยเห็นได้จากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐระยะยาวลงต่ำกว่าระยะสั้น ซึ่งมองปัจจัยต่างประเทศมีน้ำหนักมากกว่าการเลือกตั้งในประเทศ

“ตอนนี้คงต้องจับตาดูการฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลหากเสียงเป็นเกินกึ่งหนึ่งและมีเสถียรภาพ จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และมีเงินลงทุนต่างชาติมีโอกาสไหลเข้ามาก แต่หากรัฐบาลใหม่เสียงก้ำกึ่งไม่ถึง 300 เสียง การดำเนินการโครงการต่างๆ อาจเป็นไปด้วยความลำบากกว่าจะผ่านมติ ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุนของต่างชาติ เพราะต่างชาติเองก็จับตาการเลือกตั้งของไทย เห็นได้จากการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นปลายปีที่ผ่านมาปรับตัวลดลงไปในทางเดียวกับตลาดเกิดใหม่ แต่พอต้นปีหลายตลาดฟื้นตัว ตลาดหุ้นไทยกลับขึ้นน้อย เพราะจับตาการเมือง ดังนั้นการฟอร์มทีมตั้งรัฐบาลจึงอาจมีผลต่อเงินต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุน เนื่องจากทิศทางตลาดโลกก็ไม่ดีอยู่แล้ว และเป็นปัจจัยใหญ่ในตอนนี้ อีกทั้งไทยซึ่งมีการส่งออกมาอาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้”นายวศิน กล่าว

อย่างไรก็ตามแม้รัฐบาลใหม่จะมีเสียงที่ก้ำกึ่งแต่ก็ไม่น่ากระทบมากนัก ยกเว้นจะมีเรื่องอื่นๆ เข้ามาเพิ่ม แต่หากมองในแง่ของปัจจัยพื้นฐานและภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวบลจ.กสิกรไทยแนะนำหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นมูลค่าและหุ้นปันผล ซึ่งควรมีในพอร์ตการลงทุน

ด้านนายชาคริต พืชพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จดการอาวุโส บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนหุ้นของบลจ.เอ็มเอฟซี ถือเงินสดมากกว่าภาวะปกติ เนื่องจากกองทุนขายทำกำไรหุ้นออกไปบางส่วนช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในต้นปี ทำให้กองทุนมีเงินสดในมือพร้อมเข้าซื้อหุ้นในตลาด แต่คงตองรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่มีความชัดเจน

“เรายังคงเป้าหมายดันีปีนี้ 1,760 จุด คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 6-7% โดยเชื่อว่าทุกรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศยังคงเดินหน้านโยบายลงทุนโครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่อง โดยธีมหลักในการลงทุนปีนี้เน้นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ”นายชาคริต กล่าว

นายพีระพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ขณะนี้ยังคงรอความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล โดยยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนใด แต่ไม่ว่าพรรคไหนจะเป็นรัฐบาลเชื่อว่าจะเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้มองว่าปัจจัยต่างประเทศมีน้ำหนักต่อการลงทุนมากกว่าผลการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลมีเสถียรภาพก็น่าจะดึงเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะการปรับน้้ำหนักของ MSCI โดยนำเอ็นวีดีอาร์เข้ามาคำนวณคาดว่าจะดึงเงินไหลเข้าประมาณ 4-6 หมื่นล้านบาท

อ่านประกอบ

7 กองทุนสุดเจ๋ง “MFC” คว้า 2 รางวัลบลจ.ยอดเยี่ยมหุ้นในปท.-กองหุ้นบิ๊กแคป