BGRIM ติดเครื่องวิ่ง 4% ทริสคงเกรด A ธุรกิจรับเงินชัวร์

HoonSmart.com>>หุ้น BGRIM เตะตานักลงทุน หลังจากนิ่งมานาน แรงซื้อไล่ราคาขึ้นทะลุ 30 บาท ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตที่ A กระแสเงินสดแน่นอน จากสัญญาขายไฟระยะยาว ธุรกิจมีโรงไฟฟ้ากระจายตัวหลากหลาย ห่วงภาระหนี้สูง ผลงานในช่วงปี 2562-2564 คาดรายได้ปีละ 43,100-47,300 ล้านบาท เงินสดในมือไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท เงินลงทุน 17,000-20,000 ล้านบาท

นักลงทุนหันมาซื้อหุ้นบริษัทบี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ส่งผลให้ราคาหุ้นช่วงบ่ายของวันที่ 28 มี.ค. ปรับตัวขึ้นแรงปิดที่ 30.50 บาท บวก 1.25 บาทหรือ 4.27% ขณะเดียวกันมีการขายทำกำไรหุ้นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์(GULF) หลังจากขึ้นไปสูงถึง 97.50 บาท ก่อนมาปิดที่ 95.75 บาทบวก 0.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,070 ล้านบาท

มาร์เก็ตติงกล่าวว่า ราคาหุ้น BGRIM นิ่งอยู่บริเวณ 29 บาทมานาน แม้ว่าจะมีข่าวบวกมากระตุ้นหลายเรื่องก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มกำลังการผลิต จากการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท โกลว์ เอสพีพี 1 จำกัด โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 124 เมกะวัตต์ การขยายการลงทุนในต่างประเทศหลายโครงการ การขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD)ขณะที่หุ้นในธุรกิจเดียวกันคือพลังงานทดแทนปรับตัวขึ้นแรง

ด้านบริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ ที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ระดับ “A-” อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แน่นอนที่บริษัทได้รับจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)

อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการกระจายตัวหลากหลายของโรงไฟฟ้าและผลงานในการบริหารโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากการมีหนี้สินอยู่ในระดับสูงในช่วงที่บริษัทกำลังขยายกำลังการผลิต

บริษัทมีโรงไฟฟ้าที่กระจายตัวหลากหลาย ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดำเนินงานโรงไฟฟ้าจำนวน 40 แห่งทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศด้วยกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,076 เมกะวัตต์ หรือเท่ากับ 1,217 เมกะวัตต์เมื่อคิดเป็นกำลังการผลิตตามสัดส่วนที่บริษัทถือหุ้น โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจำนวน 15 โครงการคิดเป็นสัดส่วน 89% ของกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมของบริษัท ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมชั้นนำในภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศไทย

ส่วนลูกค้ารายใหญ่ที่สุด คือ กฟผ. โดยในปี 2559-2561 บริษัทมีรายได้จาก กฟผ. คิดเป็นสัดส่วน 62% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่ลูกค้า อุตสาหกรรมในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วน 30% ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ของไทย และการไฟฟ้าแห่งประเทศลาว หรือ Electricite du Laos (EDL)

” โรงไฟฟ้าของบริษัทส่วนใหญ่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ. ซึ่งมีอายุสัญญาประมาณ 21-25 ปี ช่วยลดความเสี่ยงด้านการตลาด เนื่องจาก กฟผ. ตกลงรับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำจำนวน 80% ของกำลังการผลิตตามสัญญาและยังมีกลไกส่งผ่านภาระค่าก๊าซอีกด้วย”ทริสระบุ

สำหรับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ 2 แห่งขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 677 เมกะวัตต์ในประเทศเวียดนาม มูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 21,600 ล้านบาท การไฟฟ้าแห่งประเทศเวียดนาม เป็นผู้ซื้อไฟฟ้าเพียงรายเดียว ทั้ง 2 โครงการจะจ่ายอัตราค่าไฟฟ้าคงที่ที่ 0.0935 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งจะต้องเปิดดำเนินงานได้ภายในเดือนมิ.ย. 2562 ดังนั้น ความล่าช้าในการก่อสร้างจะมีผลกระทบต่อผลตอบแทนของโครงการ ซึ่งทริส เห็นว่าการลงทุนในประเทศเวียดนามมีความเสี่ยงมากกว่าในประเทศไทย แต่ประมาณการว่ารายได้จากโครงการดังกล่าวจะมีสัดส่วนน้อยกว่า 10% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า

การขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องทำให้โครงสร้างทางการเงินมีหนี้สินอยู่ในระดับสูง ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ระดับ 61,700 ล้านบาท (รวมภาระจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี. กริม เพาเวอร์ – ABPIF) อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับ 64% มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 70% ในปี 2564 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 6 เท่าในปี 2564

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงาน ในช่วงปี 2562-2564 ทริสฯตั้งสมมุติฐานให้ค่าดัชนีความพร้อมของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทอยู่ในช่วง 90-99% ประมาณการรายได้ต่อปี เท่ากับ 43,100-47,300 ล้านบาท ประมาณการกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ในช่วง 11,600-14,400 ล้านบาทต่อปี และเงินสดในมือจะมีไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท ส่วนเงินลงทุนอยู่ที่ประมาณ 17,000-20,000 ล้านบาทต่อปี ภาระหนี้ที่จะต้องชำระคืนอยู่ที่ประมาณ 1,100-6,700 ล้านบาทต่อปี