คอนโดฯ เหนื่อยคาดปีนี้หดตัว 12-16% เปิดตัวแค่ 6.1-6.4 หมื่นยูนิต

HoonSmart.com>>ศูนย์วิจัยกสิกรไทยตีโจทย์ตลาดคอนโดมิเนียม ผลสำรวจพบ 77% ซื้อเพื่ออยู่จริง สนใจราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท  ส่วน 23% ซื้อให้เช่า-ขายต่อ เตือนต้องใช้เงินลงทุนมากขึ้น เจอคู่แข่งเจ้าของโครงการขนที่เหลือมาทำตลาดเอง  ผู้ประกอบการดิ้นปรับตัว หาตลาดต้องการจริง เพิ่มรายได้ประจำ หยุดซื้อที่ดิน ระบายสต็อก ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทเหลือมากที่สุด แถวรถไฟฟ้าสายสีม่วง สมุทรปราการ ปทุมธานี 

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าปี 2562 เป็นช่วงที่ท้าทายสำหรับการทำตลาดที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุด เตือนผู้ประกอบการให้ระมัดระวัง คาดการเปิดโครงการชะลอเหลือเพียง 61,000 – 64,000 หน่วย หดตัวลงประมาณ 12-16% จากปีที่ผ่านมา เป็นการชะลอตัวอีกครั้ง หลังจากขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 อัตราเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 4.3%

อย่างไรก็ดีผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า 77% ของผู้ที่สนใจในปี 2562- 2563 ยังมีความต้องการซื้อเพื่อไว้ใช้อยู่อาศัยจริง ขณะที่มีเพียง 23% สนใจซื้อเพื่อการลงทุน ปล่อยเช่าหรือขายทำกำไร โดยอาจต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนที่มากกว่าเดิมถึง 2-3 เท่าตัว ผลกำไรจากการให้เช่าอาจไม่ได้สูงเหมือนในอดีต รวมถึงระยะเวลาในการขายต่อที่อาจต้องใช้เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้มีข้อสังเกตว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่สนใจอาคารชุดที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯรอบนอกและปริมณฑล อาทิ พระขโนง แบริ่ง ปากเกร็ด และปทุมธานี เป็นต้น

สำหรับผู้ประกอบการมีการปรับแผนธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับการกระจายแหล่งรายได้ เพิ่มรายได้ประจำจากธุรกิจประเภทอื่น ชะลอการซื้อที่ดินเพิ่มเติม หลังจากที่ซื้อที่ดินเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเลือกเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการซื้อจริงมากขึ้น เพื่อที่จะลดความเสี่ยงของแหล่งที่มาของรายได้ หลังจากกิจกรรมการซื้อชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นจากสัดส่วนการจองซื้ออาคารชุดเปิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 0.5% แสดงให้เห็นถึงความต้องการซื้อของผู้บริโภคที่น้อยกว่าความต้องการขาย

ทั้งนี้ข้อมูลของ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด แสดงให้เห็นว่าที่อยู่อาศัยค้างขายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล (ทั้งที่สร้างเสร็จและกำลังก่อสร้าง) ณ สิ้นปี 2561 มีจำนวนประมาณ 1.8 แสนหน่วย เป็นอาคารชุดสูงถึง 41% หรือคิดเป็นประมาณ 74,000 ยูนิต โดยพื้นที่ที่เหลือขายสะสมหนาแน่น ได้แก่ บริเวณรถไฟฟ้าสายสีม่วง สมุทรปราการ และปทุมธานีเป็นต้น

จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมยังพบว่า ระดับราคาอาคารชุดที่มีจำนวนเหลือขายสูงสุดได้แก่ อาคารชุดราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนสูงถึง 38% ตามมาด้วยอาคารชุดราคาระหว่าง 2-3 ล้านบาท ที่สัดส่วน 28%