KTAM ส่งทริกเกอร์ฟันด์หุ้นไทย 5% “ทิสโก้” รอหลุด 1,600 จุด – บลจ.วี ลุยหุ้นจีน

HoonSmart.com>>หุ้นใกล้ลงต่ำสุด บลจ.กรุงไทย จับจังหวะหุ้นไทยร่วง ส่งทริกเกอร์ฟันด์ช็อปหุ้น ตั้งเป้า 5% ใน 6 เดือน มองเป้าสิ้นปี 1,760 จุด “บลจ.ทิสโก้” รอประเมินสถานการณ์ ดัชนีหลุด 1,600 จุด น่าสนใจ บลจ.วี ในเครือ KTBST มองหุ้นจีนน่าสนใจ ออกทริกเกอร์ฟันด์ขายเป้า 6% ใน 6 เดือน  ด้านแบงก์ไทยพาณิชย์ คาดสัปดาห์นี้หุ้นทั่วโลกยังผันผวน  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ใกล้หลุด 1,600 จุด มีแรงซื้อหุ้นใหญ่ช่วยพยุง 

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นสูงสุดถึง 1,682 จุด และปรับตัวลดลงจากปัจจัยภายนอกประเทศ ที่มีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก จะมีการชะลอตัวลงจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 1,600 จุด จึงเป็นจังหวะที่ดี สำหรับการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทย ทริกเกอร์ ฟันด์ 1 (KT-TRIG1)เสนอขายตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 23 พ.ค.2562 เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท

ชวินดา หาญรัตนกูล

กองทุนมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทน 5% ภายในระยะเวลา 6 เดือน เน้นลงทุนในตราสารทุน ตราสารหนี้ เงินฝาก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต.กำหนด โดยผู้จัดการกองทุนจะปรับสัดส่วนการลงทุนได้ในสัดส่วนตั้งแต่ 0% -100% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะการณ์ในแต่ละขณะ โดยบลจ.กรุงไทย มองเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้จากปัจจัยพื้นฐาน ไว้ที่ 1,740 จุด

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นยังคาดการณ์ยาก เนื่องจากทั้งปัจจัยต่างประเทศ สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯและจีน ยังมีความไม่แน่นอนและกดดันตลาด ขณะที่การจัดตั้งรัฐบาลของไทยยังไม่เห็นภาพ ซึ่งทริกเกอร์ฟันด์ก็ยังน่าสนใจ หากดัชนีหลุดแนวรับ 1,600 จุดลงมาก็จะพิจารณาออกกองทุน

“เรามองอัพไซด์ยังไม่เปิด ซึ่งปกติควรมีอัพไซด์ 8% หรือมากกว่า ซึ่งตอนนี้ตลาดมองยาก เราจึงไม่รีบที่จะออกทริกเกอร์หุ้นไทย หากลงรวดเดียวแรงๆ หรือหลุด 1,600 จุดก็น่าสนใจ ส่วนระยะยาวบลจ.ทิสโก้ยังคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,750 จุด”นายสาห์รัช กล่าว

สาห์รัช ชัฏสุวรรณ

น.ส.นิตยา เลิศแสงเพชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์และช่องทางบริการ บลจ.วี ในเครือบล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST กล่าวว่า บลจ.วี เปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิด วี ไชน่า 6M (WE- CHINA6M) วันที่ 27-29 พ.ค. 2562 โดยกองทุนเน้นลงทุนในกองทุน ETF ที่มีนโยบายลงทุนในประเทศจีน ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตและได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน และ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มก่อสร้าง โดยตั้งเป้าผลตอบแทน 6% ใน 6 เดือน

นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.วี เปิดเผยว่า แม้เศรษฐกิจจีนและตลาดหุ้นจีนจะได้รับผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ   แต่บลจ.วี ประเมินว่าเศรษฐกิจจีนจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากมีมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐที่ช่วยบรรเทาผลกระทบ

นอกจากนี้เมื่อพิจารณาพื้นฐานของตลาดหุ้นจีนแล้วจะเห็นได้ว่า ดัชนีส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นจีน ยังคงคาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้น อยู่ในระดับที่ดี โดยดัชนีตลาด A-Share คาดการณ์ว่ายังเติบโตที่ระดับ 17.02% เมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนีตลาด H-Share คาดว่าเติบโตที่ระดับ 5.59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงดัชนี Hang Seng คาดว่าจะชะลอลงเล็กน้อยที่ระดับ -0.90% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่คาดว่ายังเติบโตได้แบบมีเสถียรภาพใน 6 เดือนข้างหน้าและเป็นจังหวะที่เหมาะกับการลงทุน

นอกจากนี้ราคาพื้นฐานของตลาดหุ้นถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจากราคาที่ปรับตัวลงมามากจากปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันดัชนี A-Share มีระดับ P/E อยู่ที่ 13.3 เท่า ส่วนดัชนี H-Share และ ดัชนี Hang Seng Index มีระดับ P/E อยู่ที่ 8.7 เท่าและ 10.8 เท่า ตามลำดับจึงเป็นจังหวะที่น่าลงทุน

ด้านธนาคารไทยพาณิชย์ คาดว่าในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวน ได้รับปัจจัยกดดันจากประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน โดยตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงที่จะปรับลดลง หากตกลงกันไม่ได้ และจีนออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังมีความกังวลต่อประเด็น Brexit  แต่ราคาน้ำมัน และหุ้นกลุ่มพลังงานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จาก ความกังวลอุปทานน้ำมันตึงตัว หลังความตึงเครียดในอ่าวเปอร์เซียสูงขึ้น

ส่วนปัจจัยที่จับตาสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจ ได้แก่ GDP ในไตรมาส 1/2562 ของญี่ปุ่น, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของยูโรโซน, รายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ, ยอดส่งออก-นำเข้าของไทย และญี่ปุ่น, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของสหรัฐฯ ยูโรโซน และญี่ปุ่น, ดัชนีราคาผู้บริโภคของญี่ปุ่น รวมถึงเหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ ความคืบหน้าประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน , การเลือกตั้งสภายุโรป, การเลือกประธานสภา และประธานวุฒิสภาของไทย

ตลาดหุ้นวันที่ 21 พ.ค. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลงต่ำสุดที่  1,602.56 จุด ก่อนปิดที่ระดับ 1,610.49 จุด บวก 2.38 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 50,396 ล้านบาท  โดยมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ นำโดยธนาคารพาณิชย์  โรงพยาบาล และบริษัทปูนซิเมนต์ไทย(SCC) ช่วยผลักดันให้ตลาดขึ้นแรงเกือบ 10 จุด ขณะที่ยังคงมีแรงขายหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า  และแบนหัวเว่ย กดดันหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ และบริษัทขายมือถือ

อ่านประกอบ

KTAM จับจังหวะหุ้นร่วงออกทริกเกอร์ฟันด์ ตั้งเป้า 5% ใน 6 เดือน

บลจ.วี ออกทริกเกอร์ฟันด์ลุยซื้อหุ้นจีน เป้า 6% ใน 6 เดือน