โนมูระฯ มองหรู ทุ่มลงหุ้น 82.5% รัฐบาลขั้วเดิม-เงินนอกจ่อทะลัก

HoonSmart.com>>บล.โนมูระฯ มองตลาดขาขึ้น แนะทุ่มเงินลงหุ้นเกือบเต็มพอร์ต 82.5% บล.ทิสโก้ คาดเดือนมิ.ย. แกว่งตัวขึ้นทดสอบ 1,680 – 1,690 จุด รัฐบาลใหม่จะเร่งอัดฉีด ทุนตปท.ไหลเข้า จับตาเฟดลดดอกเบี้ย 19 มิ.ย.นี้ ส่วนดีบีเอสฯ ไม่ไว้วางใจสถานการณ์  บล.ฟินันเซียไซรัส ปรับลดเป้าหมายดัชนีปีนี้จาก 1,800 จุด เหลือ 1,720 จุด จากลดกำไรบจ.ปีนี้โตเพียง 6.5% สำหรับหุ้นที่น่าลงทุน ทุกคะแนนแนะหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการรัฐ เตือน STEC-CK พุ่งแรงสูงสุดในรอบ 1 ปี แล้ว ตลาดหุ้นไทยบวกต่อ 4 จุด แรงซื้อต่างประเทศกว่า 1,000 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน (CNS) ออกบทวิเคราะห์ วันที่ 6 มิ.ย.2562 ทราบผลรัฐสภาโหวตให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ว่า การที่รัฐบาลยังเป็นขั้วเดิม คาดจะทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆดำเนินต่อไปได้ เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยเด่น สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำลงทุนในหุ้น 82.5% ทองคำ 12.5% ตลาดบอนด์ 5% และเงินสด 0% เน้นสะสมหุ้นที่เป็นผู้เล่นในประเทศหรือ Domestic Play BBL, AOT, CPALL, ROBINS, TU

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ คาดแนวโน้มหุ้น เดือนมิ.ย.แกว่งตัวขึ้นทดสอบ 1,680 – 1,690 จุด รัฐบาลใหม่จะเร่งอัดฉีดงบเพื่อสร้างความมั่นใจ จับตานักลงทุนต่างชาติไหลเข้า เฟดมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ย 19 มิ.ย.นี้ แม้จะมีปัจจัยบวกจากประเด็นการเมือง แต่หุ้นอาจปรับขึ้นได้ไม่มาก เนื่องจากยังมีปัจจัยลบจากสงครามการค้า ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศก็ยังออกมาไม่ดีนัก ย่อมส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย แนะนำให้นักลงทุนจับตาแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ ที่มีแรงซื้ออย่างต่อเนื่อง

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ยังไม่ไว้วางใจสถานการณ์ตลาดในระยะกลางและยาว สงครามการค้ากระทบไทยมาก หากดัชนีหลุด 1,630 จุด ให้ตัดขายขาดทุน ให้แนวรับ 1610,1580 จุด

ล่าสุดธนาคารโลกปรับลด GDP ปีนี้ลงเป็น 2.6% และ IMF ปรับลดเศรษฐกิจจีนลงเป็น 6.2% นักลงทุนยังเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยคือ ทองคำ และพันธบัตรสหรัฐ หากจะเก็งกำไรเน้นหุ้นทำธุรกิจในประเทศ มากกว่าส่งออก เลี่ยงกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี โรงกลั่นระยะนี้ จากราคาน้ำมันดิ่งแรง

บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในอนาคตจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ ส่งผลต่อกำลังซื้อของจีนและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี เกษตร)  บานปลายไปหลายกลุ่มธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก จึงปรับลดประมาณกำไรของ บจ. ที่ดูแลในปีนี้ลงจากเดิมโต 10.7% เหลือโต 6.5% จะได้ดัชนีที่เหมาะสม 1,720 จุด ลดจากเป้าเดิมที่ 1,800 จุด แนะนำให้โฟกัสธุรกิจที่มีรายได้ในประเทศ ฐานะการเงินมั่นคง ไม่มีหนี้เกินตัว มีความทนทานต่อเศรษฐกิจที่ผันผวนได้ แนะนำกลุ่มค้าปลีกสินค้าจำเป็น (CPALL) สื่อสาร (ADVANC) โรงพยาบาล (BCH, EKH) รับเหมา (STEC, SEAFCO) กลุ่มเครื่องดื่มที่ฟื้นตัว (TACC, ICHI) โรงไฟฟ้า (EA, BGRIM, GUNKUL) และแบงก์ขนาดใหญ่ (BBL, KBANK) เป็นต้น

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 6 มิ.ย.62 ตลาดหุ้นไทยแกว่งแคบๆ ตามตลาดในภูมิภาค ดัชนีบวก 4.95 จุด ปิดที่ 1,653 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 49,878 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อต่อ 1,046 ล้านบาท โดยแรงซื้อหุ้นรับเหมาขนาดใหญ่ CK สร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบปี ที่ 28.75 บาท จากที่เคยสูงสุดที่ 28.25 บาท  STEC ทะลุราคาสูงสุดเดิมที่ 26 บาท ส่วน ITD ยังถือราคาสูงสุดเดิมที่ 3.50 บาท และ UNIQ ที่ 15.10 บาท

นอกจากนี้ยังมีแรงซื้อหุ้นอสังหาริมทรัพย์ นำโดย LH เพราะจะได้ประโยขน์เต็มๆ จากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ลดลง
.
.
.
.