‘ดีบีเอส’ มองบวกพลังงาน ต้องซื้อ PTT-PTTGC-IRPC

ดีบีเอส ฯ คาดกำไรกลุ่มพลังงานหนุนภาพรวมตลาดหุ้นไทยดีขึ้น ปรับเพิ่มราคาน้ำมันดิบในปีนี้ หลังมอร์แกน สแตนลีย์ คาดน้ำมันดิบ BRENT พุ่งขึ้น 90 ดอลลาร์สหรัฐในปีหน้า

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานในปี 2561 และกลุ่มนี้มีสัดส่วนกำไรสูงถึง 1 ใน 4 ของตลาดหุ้นไทย มีมาร์เก็ตแคป 23% นับได้ว่ามีความสำคัญมาก หากกำไรของกลุ่มพลังงานเติบโตได้ดีก็จะทำให้กำไรสุทธิของตลาดหุ้นไทยขยายตัวได้ดีตามไปด้วย

สำหรับหุ้นที่ชอบและแนะนำให้ซื้อ ประกอบด้วย PTT ราคาเป้าหมาย 61 บาท PTTGC ราคาเป้าหมาย 113 บาทและ IRPC ให้เป้าหมาย 8.65 บาท

สาเหตุที่มีมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจาก บริษัทมอร์แกน สแตนลีย์ออกรายงานระบุว่าอุปสงค์น้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานจะผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบ BRENT พุ่งขึ้นแตะระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 2563 จากก่อนหน้านี้ที่คาดการณ์ว่าไว้ที่ 65 ดอลลาร์ในปี 2563

ส่วนในระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบได้แรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งจะปูทางให้สหรัฐทำการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ล่าสุดราคาน้ำมันดิบ BRENT อยู่ที่ 79.24 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 19% จากระยะเดียวกันปีก่อน และ 14% จากไตรมาสก่อนหน้า

ความเห็นเชิงกลยุทธ์ ของดีบีเอสฯ เมื่อต้นเดือนพ.ค. ทาง DBS Group Research ได้ปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ BRENT ปีนี้ขึ้นจาก 65-70 ดอลลาร์เป็น 70-75 ดอลลาร์ สะท้อนราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นแข็งแกร่ง และประเมินว่ามีโอกาสสูงที่ราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวสูงได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้แม้ว่าสหรัฐจะผลิตน้ำมันดิบจาก Shale Oil เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 11 ล้านบาร์เรลต่อวันก็ตาม แต่ด้วยอุปสงค์ที่เติบโตแข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการลดปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกทำให้ช่องว่างระหว่างอุปสงค์และอุปทานไม่มาก

ทางด้าน PTT น่าสนใจ เนื่องจากมีปัจจัยกระตุ้นหลายเรื่องในปีนี้ ได้แก่ 1) ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น บริษัทย่อย PTTEP เข้าประมูลสัมมปทานเหล่งบงกชและเอราวัณ คาดว่าจะสรุปผลประมูลได้ปลายปีนี้ และ PTTEP จะชนะประมูลอย่างน้อย 1 แหล่ง มีกำไรจากการโอนสินทรัพย์ให้กับ PTTOR ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2562 ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ IRPC ที่เข้าไปถือหุ้นเพิ่ม 9.5% เป็น 48% ทั้งนี้ IAA Consensus 10 ราย แนะนำซื้อ 9 แนะนำถือ

ส่วน PTTGC เป็นผู้ประกอบการ Gas-based ซึ่งจะได้เปรียบผู้ประกอบการ Naphtha-based ในช่วงราคาน้ำมันปรับขึ้น เพราะต้นทุนจะขึ้นช้ากว่า มาร์จิ้นจะดีกว่า ด้าน Spread ของโอเลฟินส์ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะ HDPE ขณะที่ความต้องการวัตถุดิบสาย PET ที่เพิ่มขึ้นก็ช่วยหนุนด้วย นอกจากนั้นปีนี้ยังได้ประโยชน์จากโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ & ลดต้นทุน (MAX) (IAA Consensus 12 ราย แนะนำซื้อทั้งหมด)