THG ฟื้น วิ่งเข้าเป้า จัดลีสโฮลด์ Jin Wellbeing

HoonSmart.com>>ธนบุรี เฮลท์แคร์ฯ ฟื้น ไตรมาส 2 ดีขึ้น กระตุ้นยอดขาย Jin Wellbeing County จัดลีสโฮลด์ ปลายเดือนก.ค.นี้ ส่วน “บำรุงเมือง-เมียนมา” รายได้คุ้มรายจ่ายประจำ สร้างกระแสเงินสด ที่จีนหยุดขาดทุน คาดปีนี้อิบิทดาเป็นบวก “หมอบุญ” ตั้งหน้าตั้งตาเก็บอีก 5 แสนหุ้น 

นายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ รองประธานกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) ให้สัมภาษณ์ www.HoonSmart.com ว่า บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 7 ธ.ค. 2560 เวลาที่ผ่านมา 1 ปี เศษ บริษัทได้เดินหน้าลงทุนตามแผนแม่บทที่วางไว้ (master plan) ปัจจุบันโครงการต่างๆ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ก็มีบางโครงการ เช่น Jin Wellbeing County ยอดขายช้ากว่าเป้าหมาย

นพ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์

ปัจจุบันมียอดขายและโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 83 ห้อง เนื่องจากบริษัทเป็นผู้นำมิกส์ยูส อสังหาริมทรัพย์ผสมผสานมีทั้งโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ โรงพยาบาลพร้อมบริการดูแลสุขภาพครบวงจร จึงต้องใช้เวลาในการทำการตลาด ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และปรับโมเดลธุรกิจ เมื่อต้นเดือนได้เริ่มจัดแคมเปญ เพียง 1 สัปดาห์ขายได้ 3 ห้อง ปลายเดือนก.ค.นี้ จะเปิดตัวลีสโฮลด์ ให้เช่าสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ เชื่อว่าภายในสิ้นเดือนก.ค.นี้ จะขายได้หมด 20 ห้อง

“เราอยากให้สปีดเร็วกว่านี้ เราทำก่อน อยู่หัวแถว ทำไปเรียนรู้ไป พบว่าลูกค้าบางคนไม่ต้องการที่จะจ่ายเงินทั้งก้อน 4-6 ล้านบาท ส่วนผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมโครงการ ประมาณ 50% เป็นนักลงทุน ส่วนอีก 50% เป็นผู้ที่ต้องการอยู่จริงใช้จริง เราจัดโปรโมชั่น 20 ห้อง จ่ายเพียง 80% มีสิทธิอยู่ได้นาน 30 ปี คาดอัตราผลตอบ 5% ใน 3 ปี ถ้าซื้อห้องขนาดเล็ก 3-4 ล้านบาท ผ่อนจ่ายเพียง 9 พันกว่าบาท/เดือน ถูกกว่าไปเช่าห้องเดือนละ 2-3 หมื่นบาท และยังให้สิทธิออกได้ 10 ปี ถ้าไม่ต้องการอยู่ต่อ หรือลูกหลานต้องการขาย สามารถขายคืนบริษัทได้ รับซื้อในราคา 80% ของมูลค่าที่เหลืออยู่ หรือหากห้องได้รับความนิยมก็สามารถปล่อยให้คนอื่นเช่าได้ เชื่อว่าความต้องการมีจำนวนมาก รอให้โรงพยาบาลเสร็จก่อน คาดว่าปลายก.ย. น่าจะเปิดเต็มรูปแบบ ช่วยสร้างความมั่นใจในสินค้า” นายธนาธิปกล่าว

ส่วนโครงการอื่นๆ เข่น Ar Yu International Hospital สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โตเร็ว เปิดมา 3-4 เดือน มีรายได้เกือบ 5 แสนเหรียญ รองรับค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ายา เหลือเพียงค่าเสื่อมราคา ส่วน โรงพยาบาล ธนบุรี บำรุงเมือง เพิ่งเปิดเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2562 มีรายได้ประมาณ 60-70 ล้านบาท/เดือน อัตรากำไรขั้นต้นสูง ลูกค้าต่างประเทศ 90% มีทั้งตะวันออกกลาง จีน และยุโรป รายได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายประจำ สร้างกระแสเงินสด ส่วนโรงพยาบาลที่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ปีที่ผ่านมา ขาดทุนประมาณ 60-70 ล้านบาท คาดว่าปีนี้อิบิทดาเป็นบวกได้ ไม่รวมค่าเสื่อม เพราะแผนกไหนไม่ดีก็ปิดให้บริการ

สำหรับธุรกิจโรงพยาบาล บริษัทมีจำนวนเตียง 1,200 เตียง คาดว่าปีนี้จะเพิ่มอีก 100 เตียง เตรียมเปิดโรงพยาบาลที่ทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนการปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาล เป็นตามปกติ 3-5% คาดว่ารายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลที่มีอยู่ในปัจจุบันจะเติบโตประมาณ 10% ในปีนี้ ไม่รวมธุรกิจใหม่ ลูกค้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น ปัจจุบันที่โรงพยาบาล ธนบุรี 1 คนไข้นอก ใช้จ่ายต่อคนต่อบิล ตก 3,000 บาท  ส่วนต่างจังหวัดประมาณ 2,000 บาท

แนวโน้มธุรกิจโรงพยาบาล ตอนนี้หมดยุคซื้อกิจการ 2 ปี หลังแทบจะไม่เห็นแล้ว เพราะราคาโก่งไปจนไม่คุ้ม แต่บริษัทก็ไม่ทิ้งโอกาส หากมีพันธมิตรที่เบื่อ ไม่อยากทำแล้ว แนวโน้มต้องปรับมาสร้างธุรกิจใหม่ แบบเดิมใช้ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ไม่ได้แล้ว เพราะค่ารักษาพยาบาลแพงมาก  บริษัทลงทุน 2 ด้านคือ 1.โรงพยาบาลรักษาเฉพาะทาง มีสินค้าเด่นๆ 4-5 อย่าง โดยเฉพาะโรคทางสมอง ดูแลโรคอัลไซเมอร์ ทั้งป้องกันและรักษา และ 2 โรงพยาบาลพักฟื้น ต้องเป็นระดับ 5 ดาว แต่ไม่มีห้องผ่าตัด ลูกค้ามีค่าใช้จ่าย 7-8 พันบาท สำหรับพักฟื้นหลังผ่าตัด 2-3 เดือน ไม่ต้องอยู่โรงพยาบาลเดิม ที่มีค่าใช้จ่ายวันละ 1-1.5 หมื่นบาท

“หุ้นโรงพยาบาล ลงทุนระยะยาวดี แต่ในช่วง 2-3 ปีแรกในการลงทุนก็จะต้องรอ THG มีการลงทุน 2-3 โครงการใหญ่ ผลงานในปีนี้ ไตรมาส 1 แย่ที่สุด ไตรมาส 2 เริ่มกระเตื้อง ไตรมาส 3 ดีขึ้น” นาย ธนาธิปกล่าว

ทางด้านนาย บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป รายงานการได้มาหุ้น THG วันที่ 18 ก.ค.2562 จำนวน 3 รายการ รวม 5 แสนหุ้น มูลค่า 11.89 ล้านบาท แบ่งเป็นจำนวน 181,600 หุ้นราคาหุ้นละ 23.70 บาท จำนวน 160,500 หุ้น ราคา 23.80 บาท และ 157,900 หุ้นราคา 23.90 บาท ทำให้มีหุ้นทั้งสิ้น 103,436,862 หุ้น ทั้งนี้ในไฟลิ่งเสนอขายหุ้นไอพีโอ ครอบครัววนาสิน ถือหุ้นทั้งหมด 240.57 ล้านหุ้น คิดเป็น 31.49%

ส่วนราคาหุ้นในรอบ 1 ปี หรือ 52 สัปดาห์ ขึ้นไปสูงสุดที่ 33.75 บาท และต่ำสุด 23.40 บาท ล่าสุดวันที่ 19 ก.ค. ปิดที่ 24.10  บาท